ผู้บริหารปตท. ออกโรงแจงความจำเป็นต้องปรับราคาก๊าซเอ็นจีวี หลังแบกรับภาระขาดทุนจากการตรึงราคาก๊าซแล้วกว่า 27,000 ล้านบาท ระบุ หากไม่มีการปรับขึ้นราคาปีนี้ ปตท.อาจต้องขาดทุนเพิ่มอีก 10,000 ล้านบาท วอนประชาชนและรัฐบาลใหม่ เข้าใจสถานการณ์และช่วยแก้ไขปัญหา เพื่อให้เอ็นจีวี เป็นพลังงานทางเลือกอย่างยั่งยืน
นายเติมชัย บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บมจ. ปตท. เปิดใจในงานเสวนา แนวทางการบริหารจัดการ NGV เป็นพลังงานทางเลือกอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยทำความเข้าใจในปัญหาก๊าซเอ็นจีวี.ขาดแคลนในช่วงก่อนหน้านี้ว่าเป็นเพราะสถานการณ์ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นส่งผลให้ประชาชนหันมาใช้บริการก๊าซ เอ็นจีวี. ที่ถูกตรึงราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 8.50 บาท เพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็ว โดยพบว่าแต่ละวันมียอดรถยนต์ใช้ก๊าซเอ็นจีวี.เพิ่มขึ้นวันละกว่า 400-500 คัน ซึ่งส่วนใหญ่ร้อยละ 70 เป็นการเพิ่มขึ้นของรถยนต์ที่ติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีจากโรงงาน ทั้งนี้พบว่าความต้องการใช้ก๊าซเอ็นจีวี.ส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ และอีสาน ซึ่งอยู่นอกแนวท่อก๊าซ ทำให้ระบบการจัดส่งก๊าซทำไม่ทัน และเกิดปัญหาการขาดแคลน แต่อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาดังกล่าวเริ่มดีขึ้นหลังจากการสร้างสถานีส่งก๊าซที่ลานกระบือ และที่น้ำพองแล้วเสร็จ ทำให้การจัดส่งก๊าซในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานทำได้มากขึ้นปัญหาก็เริ่มคลี่คลาย และในเดือนก.ค.-ส.ค. จะมีสถานีแม่เพิ่มอีก 2แห่ง ก็จะทำให้การจ่ายก๊าซดีขึ้น ทั้งนี้พบว่ายอดการจำหน่ายก๊าซเอ็นจีวี.ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6 ล้านกิโลกรัมต่อวันปตท.ขาดทุนกิโลกรัมละ 6 บาทแต่ได้รับการชดเชยจากเงินกองทุนน้ำมันฯ 2 บาท เท่ากับว่า ปตท. แบกรับภาระขาดทุน 4 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลใหม่พิจารณาปรับเพิ่มราคาก๊าซขึ้นให้สะท้อนต้นทุน อาจจะใช้การทยอยปรับราคาจาก 8.50 บาทเป็น 10 และ12 บาทจนสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง หรืออาจค่อยๆ ปรับราคาทุกๆ 6 เดือนเพื่อให้เกิดการปรับตัวก็พร้อมจะปฏิบัติตาม
นายเติมชัย ยังเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ ผู้ที่เกี่ยวข้อง และประชาชน เห็นใจปตท. ที่ต้องแบกรับภาระการตรึงราคาก๊าซเอ็นจีวี.อยู่ที่ 8.50บาท มาตลอด 8 ปี แบกรับการขาดทุนมากว่า 27,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน ต้นทุนที่แท้จริงของราคาเอ็นจีวี. อยู่ที่เฉลี่ยกิโลกรัมละ14บาท แต่หากดูต้นทุนจริงตามพื้นที่ จะมีราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ12-20 บาทขึ้นอยู่กับระยะทางของสถานีลูกกับสถานีแม่ ซึ่งหากสถานีก๊าซอยู่ตามแนวท่อ ก็จะมีต้นทุนที่ประมาณ12 บาทต่อกิโลกรัม แต่หากอยู่ไกลแนวท่อก็จะมีต้นทุนค่าขนส่งที่อยู่ในระดับสูงจนทำให้ต้นทุนราคาก๊าซปรับสูงขึ้นถึง20 บาทต่อกิโลกรัม
สำหรับโครงสร้างราคาก๊าซเอ็นจีวี. ปัจจุบัน พบว่า ต้นทุนเนื้อก๊าซ อยู่ที่8.39บาทต่อกิโลกรัม /ต้นทุนดำเนินการสถานีและท่อส่งก๊าซ 2 บาทกว่าต่อกิโลกรัม/ ต้นทุนค่าดำเนินการสถานีบริการ30 สตางค์ต่อกิโลกรัม/ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7เปอร์เซ็นต์ / ค่าการตลาดอีกประมาณ 50 สตางค์ ต่อกิโลกรัม ทำให้ราคารวมของก๊าซเอ็นจีวี.ตามแนวท่ออยู่ที่ประมาณ 12 บาทต่อกิโลกรัม
ขณะที่สถานีลูกที่อยู่ห่างจากแนวท่อ( ไม่เกิน50กิโลเมตร) จะต้องรวมต้นทุนเนื้อก๊าซ 8.39 บาทต่อกิโลกรัม /ค่าลงทุนดำเนินการสถานีแม่ 1.60 บาท /ค่าลงทุนดำเนินการสถานีลูก อีก 2 บาทเศษ / ค่าขนส่งขึ้นอยู่กับระยะทาง / ค่าบริหารจัดการสถานีลูก และสถานีแม่60 สตางค์ต่อกิโลกรัม รวมค่าการตลาดและภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 17 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งราคาเฉลี่ยที่ 14 บาทต่อกิโลกรัมเป็นเพียงราคาเฉลี่ยเท่านั้น
ทั้งนี้หากยังไม่มีการปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี. ในปีนี้ปตท.อาจต้องรับภาระขาดทุนอีกถึง 10,000 ล้านบาท และการเดินหน้าโครงการสนับสนุนการใช้ก๊าซเอ็นจีวี.ก็จะเดินหน้าต่อไม่ได้ จะไม่มีแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาขยายการบริการ และปัญหาจะยิ่งหนักขึ้นเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี2558 ที่ภาคขนส่งของต่างชาติสามารถใช้ก๊าซเอ็นจีวี.ของไทยในราคาต่ำกว่าทุน ซึ่งปตท.และประเทศชาติจะเสียประโยชน์