วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ก.เอ๋ย ก.ไก่

ก เอ๋ย ก.ไก่ ข ไข่ ในเล้า ฃ ฃวด ของเรา ค ควาย เข้านา (ไถนา) ฅ ฅน ขึงขัง ฆ ระฆัง ข้างฝา ง งู ใจกล้า จ จาน ใช้ดี ฉ ฉิ่ง ตีดัง ช ช้าง วิ่งหนี ซ โซ่ ล่ามที ฌ เฌอ คู่กัน ต เต่า หลังตุง ญ หญิง โสภา ฎ ชฎา สวมพลัน ฏ ปฏัก หุนหัน ฐ ฐาน เข้ามารอง ฑ นางมณโฑ หน้าขาว ฒ ผู้เฒ่า เดินย่อง ณ เณร ไม่มอง ด เด็ก ต้องนิมนต์ ถ ถุง แบกขน ท ทหาร อดทน ธ ธง คนนิยม น หนู ขวักไขว่ บ ใบไม้ ทับถม ป ปลา ตากลม ผ ผึ้ง ทำรัง ฝ ฝา ทนทาน พ พาน วางตั้ง ฟ ฟัน สะอาดจัง ภ สำเภา กางใบ ม ม้า คึกคัก ย ยักษ์ เขี้ยวใหญ่ ร เรือ พายไป ล ลิง ไต่ราว ว แหวน ลงยา ศ ศาลา เงียบเหงา ษ ฤาษี หนวดยาว ส เสือ ดาวคะนอง ห หีบ ใส่ผ้า ฬ จุฬา ท่าผยอง อ อ่าง เนืองนอง ฮ นกฮูก ตาโต

ก.ไก่ใส่กลอน

ก.ไก่ ใส่กลอน

ก.ไก่หมายถึงไก่ใช่เรื่องแปลก      ข.ไข่ใครทำแตกใช่เรื่องขำ
ฃ.ขวดเลิกใช้เขาไม่ทำ                 ค.ควายนำไถนาอยู่ทุกวัน
ค.คนขึงขังยังไม่ช่วย                    ฆ.ระฆังแสนสวยด้วยสีสัน
ง.งูใจกล้าถูกฆ่าฟัน                       จ.จานนั้นมีไว้ใส่แกงงู
ฉ.ฉิ่งตีดังฉั่งฉิงฉับ                        ช.ช้างไม่ขยับยืนมองอยู่
ซ.โซ่ล่ามไว้ให้คนดู                      ฌ.กระเฌอขึ้นคู่อยู่ริมทาง
ญ.หญิงโสภาน่าถนอม                  ฎ.ชฎาสวมพร้อมงามมิสร่าง
ฏ.ปฏักปักไว้ใกล้ใกล้นาง               ฐ.ฐานสร้างเอาไว้ใช้นั่งนอน
ฑ.มณโฑหน้าขาวสาวชาวยักษ์    ฒ.ผู้เฒ่าหลงรักดวงสมร
ณ.เณรเคร่งครัดจัดจีวร                  ด.เด็กง่วงนอนร้องไห้กวน
ต.เต่าหลังตุงแทนพุงป่อง              ถ.ถุงใส่กล่องจนพองอ้วน
ท.ทหารถือหอกและถือทวน           ธ.ธงล้วนนิยมสมชื่อไทย
น.หนูมากมายได้เคยเห็น                บ.ใบไม้ยามเย็นลมพัดไหว
ป.ปลาว่ายวนพ่นน้ำไป                   ผ.ผึ้งบินใกล้ต้องรีบแจว
ฝ.ฝาทนทานชำนาญปิด                 พ.พานตั้งชิดอยู่เป็นแถว
ฟ.ฟันครบคู่ดูวาวแวว                      ภ.สำเภาพร้อมแล้วเริ่มเดินทาง
ม.ม้าเอาไว้ขี่ดี่ที่หนึ่ง                       ย.ยักษ์หน้าบึ้งตึงตาขวาง
ร.เรือพายงัดคัดท้ายพลาง               ล.ลิงค่อนข้างจะซุกซน
ว.แหวนแสนสวยเกินจะแจก             ศ.ศาลามีแขกพักหลบฝน
ษ.ฤาษีรักการดัดตัวตน                    ส.เสือไม่มีขนคนไม่มอง
ห.หีบใส่ผ้าสีขาวเด่น                       ฬ.จุฬาน่าเล่นคลายหม่นหมอง
อ.อ่างล่ำลือชื่ออ่างทอง                 ฮ.นกฮูกนั้นต้องมีตาโต

ทำไมหัวล้าน แต่หนวดไม่ล้าน

ปรกติแล้วผู้ชายจำนวนมากเมื่อแก่ตัวลง "ผมจะร่วงและหัวล้าน" ในที่สุด


แต่ทำไม หนวด ที่มางอกตอนโตกลับไม่ร่วงแม้อายุจะมากก็ตาม

ในขณะที่ผมกลับร่วงเอา ๆ

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าขนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายนอกจากผม

เ่ช่น หนวดหรือขนหน้าอกนั้น

ถูกกระตุ้นให้งอกออกมาโดยฮอร์โมนเพศชาย

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผู้ชายมีขนตามร่างกายมากกว่าผู้หญิง

แต่ในทางตรงกันข้าม

เจ้าฮอร์โมนเพศชายนี่เองแหละที่ยังเป็นตัวการทำให้ผมร่วงได้อีกด้วย

ยิ่งถ้ามีฮอร์โมนเพศชายมากเท่าไร ยิ่งทำให้ผมร่วงหลุดไปได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

และนี่คือสาเหตุที่ทำให้แม้ผู้ชายหัวจะล้าน

แต่ยังมีหนวดงอกออกมาได้ให้เห็นกันมาก ๆ นั่นเอง

ที่มา หนังสือ ลูกช่างถาม ตอบไม่ได้...อายแย่เลย...!!?

นายหัว ขอขึ้นเงินเดือนหน่อยครับ


และนี่คือจดหมายที่ลูกน้องส่งให้เจ้านาย

ตอนแรกก็คิดว่าลูกน้องนี่เขียนจดหมายขอขึ้นเงินเดือนเจ๋งแล้ว แต่พอเจอของหัวหน้า เจ๋งกว่าอีก 555

 

แหวน "มั่น" : มหัศจรรย์ "หมั้น" คงแห่งความรัก



วัฒนธรรมตะวันตก แหวนแต่งงานหรือแหวนหมั้นจะสวมอยู่ในนิ้วนางข้างซ้าย
แหวนนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความซื่อสัตย์ต่อกัน
วัฒนธรรมมอบแหวนแต่งงานแม้จะเป็นของชาวตะวันตก
แต่ก็ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศเราเองอย่างที่เห็นๆ กันอยู่
ที่มาของการเลือกให้นิ้วนางข้างซ้ายเป็นนิ้วสำหรับแหวนแต่งงานเกิดขึ้นเพราะ
คนสมัยโบราณเชื่อว่านิ้วนางข้างซ้ายนั้นเป็นที่ตั้งของเส้นเลือดแห่งความรัก
ทั้งนี้ ก่อนที่วิทยาศาสตร์จะทำให้มนุษย์ทราบระบบการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต
คนโบราณเชื่อว่าเส้นเลือดบนนิ้วนางเชื่อมต่อไปยังหัวใจ
อันเป็นสัญลักษณ์ของความรัก โดยความความเชื่อดังกล่าว
มีการอ้างว่าเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นในอาณาจักรกรีกโบราณเมื่อประมาณ 3 ปีก่อนคริสตกาล
ด้วยการเชื่อมโยงระหว่างมือและหัวใจ จึงมีการตั้งชื่อเส้นเลือดดังกล่าวว่า vena amori
อันเป็นภาษาละตินซึ่งมีหมายความว่า "เส้นเลือดแห่งความรัก" (vein of love)
ตามความเชื่อดังกล่าว ผู้คนจึงยอมรับให้สวมแหวนแต่งงานบนนิ้วนางข้างซ้าย
และการสวมแหวนแต่งงานในนิ้วนางข้างซ้ายนี้เองเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่า
คู่แต่งงานได้ประกาศมอบความรักนิรันดรให้แก่กันและกัน
จนกลายเป็นประเพณีปฏิบัติกันมาในยุโรปจนถึงทุกวันนี้
ในสมัยกลางในยุโรป พิธีแต่งงานของชาวคริสต์จะมีการสวมแหวนแต่งงานเรียงกันมา
ตั้งแต่ นิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนางของมือข้างซ้าย
เพื่อแสดงถึงหลักตรีเอกานุภาพของศาสนา อันได้แก่ พระบิดา พระบุตร และพระจิต
ก่อนที่ในเวลาต่อมาคู่สมรสจะสวมเพียงนิ้วนางข้างซ้ายเพียงนิ้วเดียว
ในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ แหวนแต่งงานจะสวมบนนิ้วนางข้างซ้าย
อย่างไรก็ตาม ในบางประเทศ เช่น เยอรมนี และชิลี
แหวนแต่งงานจะถูกใช้สวมบนนิ้วนางข้างขวาแทน
ชาวคริสต์นิกายออทอดอกซ์ พวกยุโรปตะวันออกและชาวยิว
มีธรรมเนียมการสวมแหวนแต่งงานข้างขวาเช่นกัน
ขณะที่ในเนเธอร์แลนด์ และกลุ่มชาวคริสต์นิกายคาทอลิก
จะสวมแหวนแห่งความรักนี้บนนิ้วนางข้างซ้าย
ที่มา 108 ซองคำถาม

ไม่ดูตาม้า ตาเรือ

ที่มาของสำนวนนี้มาจากการเล่นหมากรุกไทยครับ
ตา คือ ตาตารางบนกระดานหมากรุก มี ๖๔ ตา

ม้า และ เรือ เป็นตัวหมากรุก ม้าเป็นตัวหมากรุกที่เดินหักมุมไปสามตา ส่วนเรือเป็นตัวหมากรุกที่เดินตามยาวได้ตลอดกระดาน ทั้งม้าและเรือมีลักษณะการเดินเป็นพิเศษ ทำให้ระวังยาก คนที่เล่นหมากรุกเป็นคงจะรู้ว่า ตัวหมาก 2 ตัวนี้มีความสำคัญมากในการที่จะเอาชนะ เพราะมันจะสามารถวางกลยุทธ์กินตัวหมากอื่นได้ง่าย

ไม่ดูตาม้าตาเรือ คือ ไม่ระมัดระวัง ไม่ดูตาที่ม้าหรือเรือของอีกฝ่ายหนึ่งจะเดินมาได้ อาจจะต้องถูกม้าหรือเรือกิน ทำให้เสียตัวหมากรุกไป

เมื่อนำมาใช้เป็นสำนวน ไม่ดูตาม้าตาเรือ หมายความว่า สะเพร่า, ไม่ระมัดระวัง เช่น เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเตะถังใส่น้ำ น้ำกระฉอกเลอะพื้นหมดแล้ว เขาเดินตรงไปหาเพื่อนที่อยู่มุมห้อง โดยไม่ดูตาม้าตาเรือว่าเพื่อนกำลังพูดอยู่กับใคร

ที่มา :      บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย"         ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๐ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.ซึ่งคัดลอกมาจาก http://www.sarapee.ac.th/index.php?name=Content&pa=showpage&pid=592

ล้มเหลวมากพอหรือยัง ถ้ายัง ล้มต่อ

มีชายคนหนึ่ง พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบ
เขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ขณะอายุ 16 ปี
ตอนอายุ 17 ปี เขาแสดงความสามารถพิเศษด้วยการตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้ง
เขาแต่งงานตอนอายุ 18 ปี ปีถัดมาเขาได้เป็นพ่อคน
แต่ชีวิตคู่ของเขาก็มีความสุขอยู่ได้ไม่นานนัก

อายุ 20 ปี ภรรยาของเขาพาลูกสาวหนีไป
เพราะทนใช้ชีวิตกับเขาไม่ได้
ช่วงอายุ 18-22 ปี เขาประกอบอาชีพเป็นคนขายตั๋วรถไฟแล้วก็ล้มเหลว
แต่เขาก็ยังต่อสู้กับชีวิตด้วยการหาโอกาสให้ชีวิต
แต่ทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่วายล้มเหลวเหมือนเดิม
เขาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพแต่ก็ถูกขับออกมา
หันเหมาสมัครเข้าโรงเรียนกฎหมาย
แต่ด้วยความสามารถอันเอกอุเขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
แล้วเขาก็ไปทำงานเป็นพนักงานขายประกัน
แน่นอนที่สุดเขาล้มเหลวอีกครั้ง (แล้ว)
แค่เกริ่นมาข้างต้นก็คงไม่ต้องบอกว่า
ชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง !
แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราอะไรมันจะไม่ได้เรื่องไปเสียหมด
สิ่งเดียวที่เขาพบว่า เขาทำได้ดีก็คือ การทำอาหาร
ดังนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง
แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทรงคุณค่าอะไรเลยในความคิดของเขา
ชีวิตที่ร้านกาแฟ เขามีเวลามากมายที่จะนั่งคิดและทำอะไรได้มากพอสมควร
แต่เขากลับเลือกใช้เวลานั่งคิดถึงภรรยาและลูกสาวของเขา
เขาเพียรพยายามติดต่อภรรยาและอ้อนวอนให้เธอกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง
แต่ได้รับคำปฏิเสธ

เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ เขาไม่ต้องการภรรยาอีกต่อไป
ขอเพียงแต่ได้ลูกสาวกลับคืนมาก็พอเพราะเขารักและคิดถึงเธอเหลือเกิน
เขาใช้เวลาว่างในร้านกาแฟวางแผนในการนำลูกสาวกลับคืนมาสู่อ้อมอกของตน
เขาวางแผนทุกขั้นตอนละเอียดยิบ คำนวณทุกฝีก้าว
ในที่สุดแผนการอันแสนยาวนานก็เสร็จสิ้นลง
เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
คุณพ่อวัยรุ่นผู้น่าสงสารซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้นอกบ้านหลังเล็กๆ ของภรรยาของเขา
เฝ้ามองลูกสาวของเขาเล่นอยู่หน้าบ้านและเตรียม พร้อมที่จะ "ลักพาตัวเธอ!"
แล้ววันที่ตั้งใจไว้ก็มาถึง เขาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง
แม้จะรู้สึกกังวล ตื่นเต้น และตระหนกอยู่บ้าง
แต่นั่นมิอาจเทียบได้กับความรักที่เขามีต่อลูก
เขาตัดสินใจที่จะต้องลงมือทำให้สำเร็จ แต่แล้วอนิจจา
วันนั้นลูก สาวของเขาไม่ออกมาเล่นหน้าบ้านเลย
แม้กระทั่งความพยายามในการก่ออาชญากรรม เขาก็ยังล้มเหลว
เขารู้สึกเหมือนคนที่พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา รู้สึกเหมือนคนไม่มีค่า
และเหมือนพระเจ้ากำหนดมาแล้วว่าเขาจะต้องอยู่เพียงลำพังไปตลอดชีวิต
แต่เหมือนปาฏิหาริย์ ในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวภรรยาให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้
พวกเขาทำงานด้วยกันในร้านกาแฟแห่งนั้น
ทำอาหารและล้างจานอยู่จนกระทั่งเขาเกษียณ ตอนอายุ 65 ปี
วันแรกของการเกษียณอายุ
เขาได้รับเช็คเงินประกันสังคมฉบับแรกของเขา เป็นเงิน 105 ดอลลาร์(ราวสี่พันบาท)
เช็คดังกล่าวเหมือนเป็นตัวแทนของรัฐที่ฝากมาบอกเขาว่า
เขาไม่อาจจะดูแลตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชีวิต
อยู่จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาล
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกปฏิเสธ ล้มเหลว เสียกำลังใจ และท้อแท้
ชีวิตของเขาได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งหลังจาก 65 ปีอันยาวนาน
เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเขาดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่โดยให้รัฐบาลดูแล
เขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอีกต่อไป เขาตัดสินใจ (อีกแล้ว) ว่า "จะฆ่าตัวตาย"
เขาหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นกับดินสอหนึ่งแท่ง
นั่งลงใต้ต้นไม้ในสวนหลังบ้านอย่างสงบ ตั้งใจที่จะเขียนคำสั่งเสียและพินัยกรรม
แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น กลับเหมือนมีอะไรมาดลใจ เหมือนเป็นครั้งแรกที่ชีวิตเกิดปัญญา
เขาเริ่มต้นเขียนสิ่งที่เขาควรจะเป็น ชีวิตที่เขาควรจะมี
และสิ่งที่เขาปรารถนาในช่วงชีวิตสุดท้ายที่เหลืออยู่
เขาตกใจมาก เมื่อค้นพบความจริงในชีวิตว่า
เขายังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาสักอย่างเลย ! (เพิ่งนึกได้)
เขานั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้
บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ ใช่ ! เขารู้วิธีปรุงอาหาร
ชีวิตเกือบทั้งหมดของเขา อยู่ที่หน้าเตาร้อนๆ มาตลอด
เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้ง
ในที่สุดเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไรสักอย่างในชีวิตให้ประสบความสำเร็จ
เขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะตาย เขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคน
และทำบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขา
เขาลุกจากเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง
เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกันสังคมฉบับต่อไปของเขา
ด้วยเงิน 87 ดอลลาร์นั้น เขาซื้อกล่องเปล่าและไก่จำนวนหนึ่ง
จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษ
ที่เขาได้คิดค้นขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ทำงานที่ร้านกาแฟนั้น
เขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขา
แล้วคนขายไก่ทอดอายุ 65 ปีคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส
ราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken
หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเอง


ตอนอายุ 65 ปี เขาเป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปี
เขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ
เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์ส เป็นอีกบทหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จ
ที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่ใครจะรู้บ้างว่าหากใต้ต้นไม้วันนั้น
ผู้พันแซนเดอร์สได้ทำตามที่เขาตั้งใจไว้แต่แรก
ตำนานไก่ทอดสะท้านโลกก็คงจะไม่มีให้เราได้เห็นกัน
จริงอย่างที่เขาว่า ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือ
มันอยู่ที่ว่าคุณเลือกที่จะ "สู้ต่อ" หรือ "ยอมแพ้"


สำหรับผู้พันแซนเดอร์ส 65 ปี ของชีวิตที่ล้มเหลว
เทียบคุณค่าอะไรไม่ได้เลยกับ 20 ปีแห่งความสำเร็จ
แล้วชีวิตของคุณหละ ล้มเหลวมากพอหรือยัง ?
ที่มา นิตยสาร Financial Freedom
รูปภาพ wiki

ข้อคิด จากความผิดพลาด



กระดาษโน้ตแผ่นเล็กพร้อมแถบกาวอย่างอ่อน มีคุณสมบัติแปะที่ไหนติดที่นั่น

เมื่อดึงกระดาษออกไม่เหลือร่องรอยของกาวติดอยู่ ณ ที่นั้น เป็นนวัตกรรมโดนใจ

ชาวชนสำนักงานทั่วโลก มีการใช้แพร่หลายตามเอกสาร จอคอมพิวเตอร์ ประตู

หน้าต่าง ตู้เย็น เขียนโน้ตบนกระดาษแปะทิ้งไว้เตือนความจำ


โพสต์อิทโน้ตเป็นสินค้าของ 3M ซึ่งเป็นผู้คิดค้นและผู้ผลิตออกจำหน่าย

นายสเปนเซอร์ ซิลเวอร์( Spencer Silver ) เป็นหนึ่งในทีมนักวิจัยของบริษัท 3 M

ในปี ค.ศ. 1968 เขาได้รับมอบหมายให้พัฒนากาวให้มีประสิทธิภาพสูง ติดได้แน่น

ทนทาน ถาวร แต่ผลของการพัฒนา เขากลับได้กาวออกมาที่ตรงกันข้ามกับเป้าหมาย

โดยสิ้นเชิง คือเป็นกาวอย่างอ่อน ติดง่าย ลอกได้ไม่ทิ้งร่องรอย


ต่อมาในปี ค.ศ. 1974 นายอาร์เธอร์ ฟราย( Arthur Fry )นักวิจัยอีกคน

นำกาวนี้มาใช้ติดกระดาษไว้คั่นคัมภีร์ไบเบิล ในหน้าสวดมนต์ที่เขาต้องการ

เวลาไปโบสถ์ ก็เพราะคุณสมบัติติดง่าย ลอกได้ไม่ทิ้งร่องรอยนี้เอง 3M จึงนำไป

พัฒนาออกมาเป็นกระดาษโน้ตสีเหลือง ที่มีแถบกาวชนิดนี้ออกจำหน่าย โดยให้ชื่อว่า

"โพสต์อิทโน้ต"( Post-it Notes)

ปรากฎว่าเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่คนทำงานในสำนักงาน

กระดาษโน้ตสีเหลืองจึงพัฒนาเป็นหลายสี หลายขนาด หลายรูปเล่ม เอาใจผู้ใช้ทั่วโลก

ที่มา หนังสือ MK พาปิ๊ง! ไอเดียซิ่ง...ในสิ่งที่ไม่ธรรมดา

รูปภาพ wiki

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความผิดพลาดไม่ได้แย่เสมอไป

หากเรามีสติเพียงพอ อาจแปรเปลี่ยนความผิดพลาดเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้

ทำไมหัวล้าน แต่หนวดไม่ล้าน

ปรกติแล้วผู้ชายจำนวนมากเมื่อแก่ตัวลง "ผมจะร่วงและหัวล้าน" ในที่สุด


แต่ทำไม หนวด ที่มางอกตอนโตกลับไม่ร่วงแม้อายุจะมากก็ตาม

ในขณะที่ผมกลับร่วงเอา ๆ

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าขนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายนอกจากผม

เ่ช่น หนวดหรือขนหน้าอกนั้น

ถูกกระตุ้นให้งอกออกมาโดยฮอร์โมนเพศชาย

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผู้ชายมีขนตามร่างกายมากกว่าผู้หญิง

แต่ในทางตรงกันข้าม

เจ้าฮอร์โมนเพศชายนี่เองแหละที่ยังเป็นตัวการทำให้ผมร่วงได้อีกด้วย

ยิ่งถ้ามีฮอร์โมนเพศชายมากเท่าไร ยิ่งทำให้ผมร่วงหลุดไปได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

และนี่คือสาเหตุที่ทำให้แม้ผู้ชายหัวจะล้าน

แต่ยังมีหนวดงอกออกมาได้ให้เห็นกันมาก ๆ นั่นเอง

ที่มา หนังสือ ลูกช่างถาม ตอบไม่ได้...อายแย่เลย...!!?

ยกระดับตัวเอง

อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินไปตามชายหาด ช่วงหนึ่งของการสนทนา


อาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย

เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ

อาจารย์กล่าวว่า "เธอลองทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้ดูหน่อยสิ"

ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุตนั้น

ให้สั้นลงจนเหลือเพียง 1 ฟุต จึงทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา

แล้วศิษย์ก็สบตาอาจารย์พลางขอความเห็นว่า

"เช่นนี้ ใช้ได้หรือยังครับ"

อาจารย์เขกหัวศิษย์เบา ๆ แล้วบอกว่า

"คนที่คิดจะยกตนเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้น

ไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้นถ้าเลือกใช้วิธีนี้ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนา

ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง"

แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต

แล้วอาจารย์ก็สาธิตให้ดู

ด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต แล้วกล่าวว่า

"จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรู

แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า"

เขาคือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม

หากไร้คู่แข่งแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน

ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม

นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง

เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอจะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง

ดังนั้นเมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่งและฉลาดล้ำ

ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น

คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน

ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ

ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ

การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม

กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้น

ย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน

การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง

เธออาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม

แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลง

เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย

และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งหรืออดีตศัตรูของเธอเองด้วย

เป็นสังคมแห่งความสำเร็จบนพื้นฐานของมิตรภาพโดยแท้


ที่มา http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=471019&Ntype=128

โอ๊ย อยากกลั้นใจตาย

โดยปรกติเราไม่ต้องคิดเลยเวลาหายใจ เพราะมันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ


อย่างไรก็ตามเราอาจเปลี่ยนแปลงจังหวะการหายใจของเราได้เมื่อต้องการ

แต่ก็เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น การเป่าลูกโป่ง การผิวปาก

เรายังสามารถกลั้นลมหายใจได้ในช่วงสั้น ๆ

และบางคนซึ่งฝึกฝนมาอย่างดีอาจกลั้นหายใจได้นานหลายนาที

ร่างกายของเรายังมีกลไกป้องกันความผิดพลาดที่เรียกว่า Failsafe

ซึ่งไม่ยอมปล่อยให้เราหยุดหายใจนานเกินไปเป็นอันขาด

บางครั้งพ่อแม่วิตกทุกข์ร้อนมากว่า ลูกเล็กซึ่งอาละวาดเอาแต่ใจด้วยการกลั้นหายใจ

อาจทำอันตรายกับตนเองจนถึงแก่ชีวิตได้

ถึงแม้ว่าบางคนพยายามกลั้นหายใจ จนหน้าเขียวเป็นลมหมดสติไป

แต่ทันทีที่ตกอยู่ในสภาพนั้น

กลไกเฟลเซฟจะกระตุ้นให้ระบบการหายใจของร่างกายเริ่มทำงานอีกครั้งหนึ่ง

ถ้าพิจารณาจากข้อมูลนี้ คนปรกติก็ไม่น่าจะกลั้นใจตายได้นะ

การหายใจ ยังมีเรื่องที่น่าสนใจ คือ

ช่วงนอนหลับร่างกายค่อนข้างนิ่งเคลื่อนไหวน้อย

จึงต้องการปริมาณออกซิเจนลดลง จังหวะหายใจจะค่อย ๆ ช้าลงและสม่ำเสมอ

ความรู้ข้อนี้ได้นำมาใช้ประโยชน์ในเรือดำน้ำ ระหว่างช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง

โดยบรรดาลูกเรือต้องถูกสั่งให้นอนหลับมากเท่าที่จะเป็นไปได้

เพื่อใช้อากาศภายในลำเรือให้น้อยที่สุด

ทารกแรกเกิดหายใจประมาณ ๑ ครั้งทุกวินาทีหรือ ๖๐ ครั้งต่อนาที

เมื่อโตขึ้นหน่อยทารกหายใจประมาณ ๔๐ ครั้งต่อนาที

ส่วนเด็กโตจะหายใจช้าลงกว่าทารกเล็กน้อย

และผู้ใหญ่หายใจประมาณ ๑๕-๒๐ ครั้งต่อนาที นั่นคือหายใจหนึ่งครั้งทุก ๔-๕ วินาที

สัตว์ประเภทต่าง ๆ หายใจในอัตราช้าเร็วต่างกัน

โดยทั่วไปสัตว์เล็กหายใจเร็วกว่าสัตว์ใหญ่ ตัวอย่างเช่น

ในช่วงพักผ่อนหนูหายใจในอัตรา ๑๐๐-๒๐๐ ครั้งต่อนาที

นกกระจอก ๙๐ ครั้งต่อนาที แมว ๒๐-๓๐ ครั้ง สุนัข ๑๕-๒๕ ครั้ง

ม้า ๕ ครั้ง และช้างหายใจในอัตราเท่ากับม้า

ศูนย์ควบคุมการหายใจ ( Respiratory Center) ภายในก้านสมองตรงฐานสมอง

ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการหายใจ

เซลล์กลุ่มนี้คอยตรวจสอบระดับออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดอย่างต่อเนื่อง

เมื่อใดก็ตามที่ระดับคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น

ศูนย์ควบคุมการหายใจจะสั่งกล้ามเนื้อที่เกี่ยวเนื่องกับการหายใจ

ให้ทำงานเพิ่มขึ้นหรือเร็วขึ้นหรือทั้งสองอย่าง

จนกว่าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนเกินจะถูกขับออกมาโดยปอด

และกลไกของร่างกายกลับคืนสู่สภาพปรกติ

ที่มา 108 ซองคำถาม

ท้องว่าง ไม่ควรกินอะไร

อาหารบางชนิดไม่ควรทานขณะท้องว่างเพราะอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีอาหารที่ไม่ควรทานขณะท้องว่างมาบอก...

•กล้วย เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง

•ผัก การทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ

•นมและนมถั่วเหลือง แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย ดังนั้นในขณะที่ท้องว่างจึงไม่ควรทาน

•เหล้า หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

•น้ำตาลหรืออาหารหวาน ไม่ควรทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

•ชา ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

•ลูกพลับ ไม่ควรทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

รู้อย่างนี้แล้ว เลือกทานอาหารให้ถูกที่ถูกเวลาจะดีกว่า.

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์

ผ่าแตงโม

กางเกงลิง


พจนานุกรมฉบับมติชน นิยามศัพท์ "กางเกงลิง" ว่าหมายถึงกางเกงชั้นในรัดแนบเนื้อ ไม่มีขา เป็นภาษาปาก หรือภาษาพูด เชื่อว่าน่าจะมาจากศัพท์ที่ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษใช้ด้วยกันว่า "ลิงเจอรี-lingerie" ที่แปลว่าชุดชั้นในสตรี สมัยโบราณผู้หญิงไทยนุ่งโจงกระเบน เข้าใจว่าคงไม่มีการใส่กางเกงชั้นใน ต่อมาเมื่อรับกระโปรงแบบแหม่มมาสวมจึงเริ่มใช้ชุดชั้นในแบบแหม่มด้วย แต่นิสัยคนไทยชอบพูดย่อๆ จึงเรียกกางเกงชั้นในแบบแหม่มเพียงคำต้นของ ลิงเจอรี ว่ากางเกงลิง
ลองไปค้นดูประวัติของ lingerie ของฝรั่ง อ่านเจอในเว็บไซท์ ww.associatedcontent.com
อ้างว่า กางเกงชั้นใน lingerie นี้ กำเนิดขึ้นมา หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประมาณ ค.ศ. 1922 สาวๆเริ่มใส่กระโปรงสั้น สรวมหมวก ตอนกลางคืนก็ออกไปเฉิดฉายในงานเต้นรำ
คำว่า lingerie นี้ มาจาก ภาฝรั่งเศส "lin" ที่หมายถึง linen ลินิน ริ่มต้นนั้นการใช้ชุดชั้นใน ก็เพื่อความอบอุ่น เพื่อสุขภาพอวัยวะภายใน อมาเริ่มมีแฟชั่นพัฒนามากขึ้น กคำหนึ่งที่ใช้ คือ panties ก็หมายความถึง lingerie เช่นกัน เพราะเป็นเสื้อผ้าที่ใส่ข้างใน ที่เรียกว่า under wear สำหรับผู้หญิง
panties เริ่มใช้ในยุคที่การปฏิวัติฝรั่งเศสโดย Catherine de Medici ซึ่งเกิดไอเดียที่ต้องการขี่ม้าโดยวิธีการขี่คร่อมเช่นเดียวกับผู้ชายจึงต้องมีเสื้อผ้าที่จะสามารถปกปิดร่างกายได้มิดชิด โดยไม่ต้องโชว์หวอสู่สายตาชาวโลก
ที่มา:www.matichon.co.th/

เราสองสามคน

ณ วัดแห่งหนึ่ง หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น


จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า

"ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ

แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ"

หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า

"เจ้ารู้ไหมในตัวเรามีคนอยู่สามคน

คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น

คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น

คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ

ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา

"คนเราล้วนมีความฝัน ความทะเยอทะยานอยาก

ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย

บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน

ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม

ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ "

"มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ

จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ

แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้ "

"อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี

ทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ

บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร "

คนที่ชอบนินทานั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ

มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม

เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว

คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา

เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ

นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล "

"แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ "

ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้ว เริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา

"เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์

เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้

เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ

ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา

เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง

ใจเราควรสงบนิ่ง ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่

เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น

แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม "

"เข้าใจครับหลวงตา" เด็กน้อยยิ้มมี ความสุขอีกครั้ง
ที่มา fwd mail

๓ ชั้น

In ancient Greece, Socrates was reputed to hold knowledge in high esteem.

ในสมัยกรีกโบราณ, Socrates(โสเครติสนักปรัชญากรีก)ได้รับยกย่องให้เป็นมหาปราชญ์
และได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นอย่างสูง
One day an acquaintance met the great philosopher and said,
"Do you know what I just heard about your friend?"
วันหนึ่ง มีคนรู้จักบังเอิญพบกับนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้และพูดขึ้นว่า
"คุณรู้อะไรไม๊? ผมได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนของคุณมาเรื่องนึง"
"Hold on a minute," Socrates replied. "Before telling me anything
I'd like you to pass a little test. It's called the Triple Filter Test."
"ช้าก่อน..." โสเครติสตอบ "ก่อนที่ท่านจะบอกข้า ข้าอยากที่จะให้ท่านผ่านการทดสอบสักเล็กน้อย
ข้าจะเรียกมันว่า บททดสอบกลั่นกรองสามชั้น"
"Triple filter?"
"กลั่นกรองสามชั้น?"
"That's right," Socrates continued. "Before you talk to me about my friend,
"ถูกต้องแล้ว" โสเครติสกล่าวต่อไป "ก่อนที่ท่านจะเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับเรื่องของเพื่อนของข้า
it might be a good idea to take a moment and filter what you're going to say.
That's why I call it the triple filter test.
มันอาจจะเป็นการดี ที่จะใช้เวลาสักเล็กน้อยและการกลั่นกรองเรื่องที่ท่านจะพูด
และนั่นคือสาเหตุว่าทำไม ข้าจึงเรียกมันว่า บททดสอบตัวกลั่นกรองสามชั้น
The first filter is Truth. Have you made absolutely sure that
what you are about to tell me is true?"
ตัวกลั่นกรองแรก คือ "ความจริง"
ท่านแน่ใจจริงๆ หรือว่าสิ่งที่ท่านกำลังจะบอกข้านั้นเป็นเรื่องจริง?"
"No," the man said, "actually I just heard about it and..."
"เปล่าหรอก..." ชายผู้นั้นตอบ "อันที่จริง ข้าก็แค่ได้ยินเรื่องนี้มาเท่านั้นเอง แล้วก็..."
"All right," said Socrates. "So you don't really know if it's true or not.
"เอาเถอะ เอาเถอะ ไม่เป็นไร" โสเครติสกล่าว "ถ้าเช่นนั้น
ท่านก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่ท่านรู้มาจริง หรือ เท็จ
Now let's try the second filter, the filter of goodness.
Is what you are about to tell me about my friend something good?"
คราวนี้ มาลองทดสอบตัวกลั่นกรองตัวที่สองกันดู ตัวกลั่นกรองที่สอง คือ "ความดี"
เรื่องที่ท่านกำลังจะ บอกข้า เกี่ยวกับเพื่อนของท่าน เป็นเรื่องดี หรือไม่?"
"No, on the contrary..."
"ไม่ เป็นเรื่องตรงกันข้าม..."
"So," Socrates continued, "you want to tell me something bad about him,
but you're not certain it's true. You may still pass the test though,
"ถ้าเช่นนั้น" โสเครติส กล่าวต่อ "ท่านต้องการบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีของเขา
แต่ท่านไม่แน่ใจว่า มันเป็น เรื่อง จริงหรือไม่... ไม่เป็นไร ยังไงเสีย ท่านอาจจะผ่านการทดสอบนี้ก็ได้
because there's one filter left: the filter of usefulness.
Is what you want to tell me about my friend going to be useful to me?"
เพราะ ยังเหลือตัวกลั่นกรองอีกหนึ่ง : ตัวกลั่นกรองสุดท้ายนี้คือ "ความมีประโยชน์"
ท่านคิดว่าเรื่องที่ท่าน กำลังจะบอกข้าเกี่ยวกับเพื่อนของข้านั้น จะเป็นประโยชน์อะไรกับข้าหรือไม่?"
"No, not really."
"ไม่รู้สิท่าน...คงจะไม่"
"Well," concluded Socrates,
"if what you want to tell me is neither true nor good nor even useful,
why tell it to me at all?"
"อื่มมม" โสเครติสสรุป "
ถ้าเรื่องที่ท่านจะบอกข้านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องดี และ ไม่มี ประโยชน์
เหตุใดท่านจึงอยากบอกข้าเล่า?"
This is why Socrates was a great philosopher & held in such high esteem.
และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้โสเครติสเป็นมหาปราชญ์ และ ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูง
Friends use this triple filter each time u hear loose talk about any of your near & dear friends.
เพื่อน ๆ ลองใช้ "ตัวกลั่นกรองทั้งสาม"
ในแต่ละครั้งที่ได้ยินเรื่องที่ไม่แน่นอนเกี่ยวกับเพื่อนผู้ใกล้ชิดและรักกันนะครับ

ที่มา fwd mail

ตุ๊กตาล้มลุก


ประธานาธิบดี เอบราแฮม ลิงคอล์น ของสหรัฐอเมริกาได้ชื่อว่าเป็นรัฐบุรุษของประเทศคนหนึ่งซึ่งชาวอเมริกันยกย่องชื่นชมในสติปัญญาเป็นอันมาก แม้ท่านจะล่วงลับไปนานนับได้หลายสิบปีแล้ว แต่เมื่อมีการสำรวจความนิยมที่ประชาชนมีต่อประธานาธิบดีของเขาเมื่อไร ชื่อของอดีตประธานาธิบดีลิงคอล์นก็ยังคงติดอันดับหนึ่งในสิบของผู้นำในดวงใจคนอเมริกันอยู่นั่นเอง


เส้นทางแห่งความสำเร็จของประธานาธิบดีลิงคอล์นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนกับผู้นำคนสำคัญของโลกคนอื่น ๆ แต่ยิ่งศึกษาจะยิ่งพบว่าท่านลำบากกว่าผู้นำของโลกคนอื่นอีกหลายเท่าตัวด้วยซ้ำไป

เริ่มแรกก็เกิดมาในตระกูลที่มีความยากจนเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ บ้านเคยอยู่อู่เคยนอนก็อยู่ในเขา การศึกษาก็เรียนแบบช่วยตัวเองมาโดยตลอด แต่อาศัยว่าเป็นหนอนหนังสือตัวยงจึงปราดเปรื่องกว่านักเรียนในระบบหลายเท่าตัว การที่ท่านเกิดมาเป็นคนจนนั่นเองที่ทำให้ท่านไม่ยอมงอมืองอเท้ารอให้พระเจ้าเอาราชรถมาเกย แต่กลับเป็นผู้เดินเข้าหาโอกาสด้วยตนเองอย่างไม่หวั่นเกรงอุปสรรคที่ดักรออยู่ข้างหน้า

อดีตประธานาธิบดีลิงคอร์นฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย บ่อยครั้งที่เจียนอยู่เจียนไปเพราะถูกเข้าใจผิด ถูกลอบฆ่า ถูกโกง ถูกฟ้องล้มละลาย แต่ท่านเป็นชายชาติเสือ ถือคติเหมือนชาวจีนไต้หวันที่ชอบสะสม "ตุ๊กตาล้มลุก" ของท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ คือ

ล้มเพื่อลุกขึ้นสู้ ไม่ใช่ล้มแล้วหลับไม่ตื่น

ด้วยปรัชญาชีวิตแบบล้มแล้วลุก ท่านจึงทนต่อความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า และทุกครั้งที่ล้มท่านก็ซึมซับเก็บรับเอาบทเรียนมาพัฒนาตัวเองได้ทุกครั้งเช่นกัน ยิ่งล้มจึงยิ่งฉลาด ยิ่งเจ็บจึงยิ่งแกร่ง จนท่านกลายเป็นนักล้มผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งในภายหลังท่านได้นำมาประยุกต์ใช้กับการทำงานในตำแหน่งประธานาธิบดีได้อย่างวิเศษ

เส้นทางของนักล้มผู้ยิ่งใหญ่มีผู้รวบรวมไว้พอเป็นตัวอย่างได้ดังนี้(หนังสือ Chicken Soup for the Soul หรือชื่อไทยคือ พลังแห่งชีวิต หน้า 210)

1816 ครอบครัวของเขาถูกไล่ออกจากบ้าน เขาต้องทำงานช่วยครอบครัว

1818 แม่ของเขาเสียชีวิต

1831 ล้มเหลวทางธุรกิจ

1832 สมัครเป็นวุฒิสมาชิก-แพ้

1832 ตกงาน ต้องการเข้าโรงเรียนกฏหมาย แต่ไม่สำเร็จ

1833 ยืมเงินเพื่อนทำธุรกิจแต่ล้มละลายในตอนสิ้นปี เขาต้องทำงานใช้หนี้เป็นเวลานานถึง 17 ปี

1834 สมัครวุฒิสมาชิกรัฐอีกครั้ง-ชนะ

1835 หมั้นและเตรียมแต่งงาน แต่คนรักเสียชีวิตเสียก่อน หัวใจของเขาแตกสลาย

1836 เกิดอาการประสาทและต้องพักเป็นเวลา 6 เดือน

1838 พยายามชิงตำแหน่งโฆษกสภารัฐ-แพ้

1840 ลงสมัครเลือกตั้ง-แพ้

1843 สมัครสมาชิกคองเกรส-แพ้

1846 สมัครสมาชิกคองเกรสอีกครั้ง คราวนี้ประสบความสำเร็จ ได้ไปวอชิงตันและได้งานดี

1848 ลงสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกคองเกรสอีกครั้ง-แพ้

1849 สมัครงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ดูแลที่ดินที่บ้านเกิดของเขา-ถูกปฏิเสธ

1854 สมัครเป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกา-แพ้

1856 พยายามให้ได้รับการนำเสนอชื่อเป็นรองประธานาธิบดีในการประชุมพรรค ได้เสียงสนับสนุนน้อยกว่า 100 เสียง

1858 สมัครเป็นวุฒิสมาชิกประเทศอีกครั้ง-ล้มเหลวตามเคย

1860 เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

ความล้มเหลวจึงเป็นส่วนผสมของชีวิตซึ่งขาดไม่ได้ คนที่ไม่เคยล้มเหลวคือคนที่ไม่เคยทำอะไร ด้วยข้อเท็จจริงเช่นนี้ คนที่กำลังคิดการใหญ่ทุกคนจึงมองความล้มเหลวด้วยสายตาที่เป็นบวก เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่า ความล้มเหลวเป็นฝาแฝดกับความสำเร็จ

ความล้มเหลวกับความสำเร็จเหมือนด้านหัวและด้านก้อยของเหรียญเดียวกัน เราหยิบด้านหนึ่งขึ้นมา อีกด้านหนึ่งก็ติดมาด้วยอย่างแน่นอน

ข้อสำคัญคือ เราจะเลือกหยิบด้านที่เราต้องการขึ้นมาและรักษาให้ด้านนั้นอยู่กับเราได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง

ที่มา บทเรียนจากความล้มเหลว หนังสือ ธรรมะพารวย โดย ท่าน ว.วชิรเมธี
รูปภาพ wikipedia

กว่า"สยาม" จะเป็น "ไทย"

การเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" เป็น "ไทย" เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2482 ในสมัยที่จอม พล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี โดยยึดหลักที่ว่า ประเทศส่วนใหญ่มักตั้งชื่อประเทศตามเชื้อชาติของตนความคิดนี้หลายคนเห็นค้านเพราะคำว่า "ไทย" เป็นความรู้สึกเกี่ยวกับเชื้อชาติไท แต่ในประเทศมีคนหลายเชื้อชาติ จะทำให้คนเชื้อชาติอื่นน้อยใจเสียมากกว่าและต่างประเทศก็รู้จัก "ประเทศสยาม" แล้วเป็นอย่างดี ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรจะเปลี่ยนแต่เนื่องจาก จอมพล ป. มีนโยบายสร้างชาติโดยอาศัยเชื้อชาติไทยเป็นหลัก จึงยังยึดความคิดเดิมที่จะเปลี่ยนนามประเทศจาก "สยาม" เป็น "ไทย" โดยเริ่มประกาศใช้เป็นรัฐนิยมก่อน แล้วจึงประกาศใช้รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมนามประเทศในภายหลังร่างหนังสือนายกรัฐมนตรีถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอความเห็นชอบในเรื่องการเปลี่ยนนามประเทศ และเสนอให้คณะรัฐมนตรี พิจารณานั้น หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้ยกร่าง ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับ ความไม่สะดวกในการใช้คำว่า "สยาม" ดังนี้

(1) คนไทยมีสัญชาติและบังคับไม่ตรงกันกล่าวคือ

คนไทยทุกคนในเวลานี้มีสัญชาติไทยแต่อยู่ในบังคับสยาม

(2) ชื่อภาษา ชื่อคน กับชื่อประเทศไม่ตรงกัน กล่าวคือ เป็นประเทศสยาม

แต่คนพื้นเมืองพูดภาษาไทยเป็นอาณาจักรสยาม แต่พลเมืองเป็นคนไทย

(3) การที่เอาคำว่า "สยาม" กลับมาใช้เป็นนามประเทศนั้น เป็นการฝืนใจคนไทยโดยทั่วไป
ดังนั้นคำว่าสยามจึงมีแต่ในภาษาหนังสือ แต่ใช้พูดกันว่า "เมืองไทย" เป็นส่วนมาก ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงมีความเห็นว่า ถ้าได้เปลี่ยนประเทศสยามเป็นประเทศไทยแล้ว จะมีผลดังนี้

(1) ได้ชื่อประเทศที่ตรงตามชื่อเชื้อชาติของพลเมือง

(2) ชนชาติไทยจะมีสัญชาติและอยู่ในบังคับอันเดียวกัน

(3) ชื่อประเทศ ชื่อภาษาพื้นเมือง ชื่อรัฐบาลกับชื่อประชาชน จะเป็น "ไทย" เหมือนกันหมด

(4) ทำให้พลเมืองรักประเทศเพิ่มมากขึ้นและมีจิตใจเข้มแข็ง รู้สึกระลึกถึงความเป็นไทยมากขึ้น

5) ก่อให้เกิดความสามัคคีและเกี่ยวพันอย่างสนิทสนม

ระหว่างชาวไทยที่อยู่ในประเทศไทย และชาวไทยที่กระจัดกระจายในประเทศอื่น ๆ มากยิ่งขึ้น
ถึงแม้จะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคนไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนชื่อประเทศ
แต่เสียงส่วนใหญ่ก็สนับสนุน ในหมู่ประชาชนก็ไม่มีความเห็นว่าชอบหรือไม่ชอบ
รัฐบาลสั่งอะไรก็ปฏิบัติตาม จึงเป็นอันว่า "ประเทศสยาม"ก็กลายเป็นเพียงตำนานนับจากนั้น

เรื่องดีดีมีไว้แบ่งปัน http://pbmath.exteen.com
ที่ มา 108 ซองคำถาม
รูปภาพ wikipedia

หูฉลาม

หูฉลามเป็นอาหารขึ้นโต๊ะที่ราคาแพงมาก เหตุผลก็เพราะหายาก มีรสชาติดี จึงถือเป็นอาหารชั้นเลิศของชาวจีนแต่ครั้งโบราณกาล ในเรื่องความอร่อยและความหายากนั้นคงไม่ขัดใจกัน ถ้าหากพูดคุยกันรู้เรื่องกับนักอนุรักษ์ธรรมชาติ แต่ในแง่คุณค่าทางอาหารว่ามีสรรพคุณล้นหลามตามคำเชิญชวนนั้น น่าจะลองคำนวณดูว่ามีคุณค่าสมราคาหรือไม่
แท้จริงแล้วหูฉลามมาจาก ส่วนครีบของปลาฉลาม ซึ่งมีลักษณะเป็นกระดูกอ่อนที่แบ่งออกได้เป็นสองส่วน คือฐานครีบและก้านครีบ ซึ่งเป็นกระดูกที่มีลักษณะเป็นเส้นๆ เพื่อช่วยให้ฉลามสามารถแผ่ครีบออกได้ ส่วนที่เรียกว่าก้านครีบนี่แหละครับที่กลายเป็นหูฉลามชามโปรด
มีความเชื่อกันว่าหูฉลามที่นำมาต้มจนเปื่อยและตุ๋นจนได้ที่จะกลายเป็นอาหาร วิเศษในการบำรุงร่างกาย แต่ข้อสังเกตในทางวิทยาศาสตร์ก็คือ ครีบฉลามที่นำมารับประทานนี้ ได้ผ่านกระบวนการหลายอย่าง ตั้งแต่การแตกแห้ง ต้มจนเปื่อย และขูดหนังทิ้งจนเหลือแต่กระดูกอ่อน เหลือแคมเซียมอยู่ก็ไม่กี่มากน้อย
สิริรวมในเรื่องคุณค่าด้านอาหารแล้ว หูฉลามหนึ่งชามมีค่าเสมอด้วยไข่เป็ดฟองเดียวเท่านั้นเอง
การเลือกซื้ออาหารเพื่อคุณค่าสูงสุด จึงไม่ได้หมายถึงอาหารราคาแพงเท่านั้น ถ้ามีความรู้และรู้เท่าทันด้วย การใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ มักจะได้ทั้งของถูกและของดีพร้อมกันในคราวเดียว
ที่มา บทความเรื่อง หูฉลาม...คุณค่ายิ่งใหญ่เท่าไข่ฟองเดียว วิทยาศาสตร์รอบตัวจาก สสวท
คัดลอกจาก ศูนย์แบ่งปันความรู้ ม.น.ข

แก้เผ็ด

ไม่ได้กำลังแนะนำให้คุณโต้ตอบใครที่เขาทำให้คุณเจ็บใจหรอกนะ

แต่หมายถึงวิธีแก้ความเผ็ดเวลาที่คุณเผลอกินพริกเม็ดจิ๋ว แต่เผ็ดร้อนแรงยิ่งนักต่างหาก
ความเชื่อเก่า: ดื่มน้ำเย็นตามทันที เพื่อหวังดับความเผ็ดร้อน ก่อนจะพ่นไฟเป็นมังกร
ผลที่ได้: ไม่ได้ช่วยให้คุณหายเผ็ด แต่กลับกลายเป็นว่า
การดื่มน้ำจะยิ่งไปกระจายความเผ็ดให้ทั่วปากมากขึ้นแทน
หนทางแก้เผ็ด
1.รับประทานข้าว ขนมปัง หรือจะดื่มนม จากนั้นค่อยอมลูกอมก็ได้ เพราะความหวานในอาหาร เครื่องดื่ม หรือลูกอมเหล่านี้ จะช่วยดูดซับสารแคปไซซิน(Capsaicin) ที่เป็นตัวการให้เกิดความเผ็ดร้อน เมื่อลิ้นหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งไปสัมผัสเจ้าพริกเม็ดจิ๋วเข้า
2.ดื่มน้ำมะนาว หรือน้ำมะเขือเทศสดๆ จะช่วยแก้เผ็ดได้เพราะกรดจะไปทำปฏิกิริยากับสารดังกล่าว ซึ่งเป็นด่าง ทำให้ความเผ็ดแผลงอิทธิฤทธิ์น้อยลง
ที่มา: นิตยสาร Lisa vol.5 no.30 วันที่ 7.10.2004

แพะรับบาป

แพะรับบาป" พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้อธิบายว่า


เป็นสำนวน ซึ่งหมายถึงคนที่รับเคราะห์กรรมแทนผู้อื่นที่ทำกรรมนั้น

ส่วนที่มาของสำนวนนี้ พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน

พิมพ์ครั้งที่ ๒ (แก้ไขเพิ่มเติม) ได้ระบุไว้ ดังนี้

ที่มาของคำว่า แพะรับบาป นี้ ปรากฏในคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม

ซึ่งเป็นคัมภีร์ของชาวอิสราเอลผู้มีภูมิหลังเป็นผู้มีอาชีพเลี้ยงแพะ เลี้ยงแกะ

แพะรับบาปเป็นพิธีปฏิบัติในวันลบบาปประจำปีของชาวอิสราเอล

ซึ่งเริ่มต้นด้วยปุโรหิตถวายวัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของตนเองและครอบครัว

เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ปุโรหิตจะนำแพะ ๒ ตัวไปถวายพระเป็นเจ้าที่ประตูเต็นท์นัดพบ

และจับสลากเลือกแพะ ๒ ตัวนั้น

สลากที่ ๑ เป็นสลากสำหรับแพะที่ถวายพระเป็นเจ้า อีกสลากหนึ่งเป็นสลากสำหรับแพะรับบาป

หากสลากแรกตกแก่แพะตัวใด แพะตัวนั้นจะถูกฆ่าและถวายเป็นเครื่องบูชา

เพื่อไถ่บาปของประชาชน เรียกว่า "แพะรับบาป"

ส่วนสลากที่ ๒ หากตกแก่แพะตัวใด แพะตัวนั้นเรียกว่า "แพะรับบาป"

ซึ่งปุโรหิตจะถวายพระเป็นเจ้าทั้งยังมีชีวิตอยู่

แล้วใช้ทำพิธีลบบาปของประชาชน โดยยกบาปให้ตกที่แพะตัวนั้น

เสร็จแล้วก็จะปล่อยแพะตัวนั้นให้นำบาปเข้าไปในป่าลึกจนแพะและบาปไม่สามารถกลับมาอีก

ส่วนในศาสนาฮินดู เซอร์มอเนียร์ วิลเลียมส์ สันนิษฐานว่า

การฆ่ามนุษย์บูชายัญคงไม่เป็นที่ถูกอัธยาศัยพื้นฐานของพวกอารยัน

คัมภีร์พราหมณะจึงอธิบายว่าเทวดาฆ่ามนุษย์

ส่วนที่เหมาะสมจะใช้บูชายัญก็ออกไปจากมนุษย์เข้าสู่ร่างม้า

ม้าจึงกลายเป็นสัตว์ที่เหมาะสมจะใช้บูชายัญ

เมื่อฆ่าม้า ส่วนที่เหมาะสมจะใช้บูชาก็ออกจากม้าไปเข้าร่างโค

เมื่อฆ่าโค ส่วนที่เหมาะสมจะใช้บูชาก็ออกจากโคไปสู่แกะ จากแกะไปแพะ

ส่วนที่เหมาะสมจะใช้บูชา คงอยู่ในตัวแพะนานที่สุด

แพะจึงกลายเป็นสัตว์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับใช้ฆ่าบูชายัญ

ที่มา http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?Search=1&ID=2114

เวปไซต์ราชบััณฑิตยสถาน

ฅนขายฃวด

รศ. ดร. คุณหญิงสุริยา รัตนกุล ผู้เขียนหนังสือ ฃ, ฅ หายไปไหน ?

ได้ศึกษา ความเป็นมาของพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ และชี้ให้เห็นว่า

หากเริ่มนับตั้งแต่ที่พบ ฃ, ฅ ในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยเป็นครั้งแรก

จนถึงการประกาศเลิกใช้ ฃ, ฅ ในปทานุกรม พ.ศ. 2470 และพจนานุกรม พ.ศ. 2493 เป็นเกณฑ์

พยัญชนะทั้งสองมีที่ใช้อยู่ในภาษาไทย นานถึง 700 ปี

หากแต่อัตราการใช้และความแม่นยำที่ใช้แตกต่างกันไปตามยุคสมัย

เดิม ฃ, ฅ เป็นพยัญชนะแทนเสียง ซึ่งเคยใช้กันมาแต่เดิม (ซึ่งแตกต่างจากเสียง ข และ ค)

แต่เสียงนี้ได้หายไปในระยะหลัง เป็นเหตุให้พยัญชนะทั้งสองตัวหมดความสำคัญลงในภาษาไทยปัจจุบัน

เมื่อครั้งที่มีการประดิษฐ์พิมพ์ดีดภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี 2434

ผู้ประดิษฐ์ ได้ตัดตัว ฃ, ฅ ทิ้งไปด้วยเหตุว่า พื้นที่บนแป้นพิมพ์ดีดไม่เพียงพอ

และยังให้เหตุผลว่า เป็นพยัญชนะที่

"ไม่ค่อยได้ใช้ และสามารถทดแทนด้วย ตัวพยัญชนะอื่นได้"

นี่อาจเป็นครั้งแรกที่พยัญชนะ ฃ, ฅ ถูก "ตัดทิ้ง" อย่างเป็นทางการ

ส่วนครั้งต่อ ๆ มาก็คือ การประกาศงดใช้ ฃ, ฅ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

เมื่อครั้งปรับปรุงภาษาไทยให้เจริญก้าวหน้าในยุครัฐนิยม

รวมถึงการประกาศ เลิกใช้ในปทานุกรม และพจนานุกรม ดังกล่าวแล้ว

มีข้อน่าสังเกตว่า แต่ก่อนพยัญชนะ ฅ ไม่ได้ใช้ในคำว่า คน เลย (ฅ ใช้ในคำ ฅอ ฅอเสื้อ เป็นอาทิ)

ความสับสนในเรื่องนี้ คงเกิดมาจาก ก ไก่ คำกลอน ผลงานของ ครูย้วน ทันนิเทศ

(ในหนังสือ แบบเรียนไว เล่มหนึ่ง ตอนต้น, พ.ศ. ๒๔๗๓) ที่แต่งว่า "ฅ ฅนโสภา"

แล้วต่อมา หนังสือ ก ไก่ ฉบับประชาช่าง ก็แต่งว่า "ฅ ฅนขังขึง" ซึ่งเป็น ก ไก่คำกลอน

ฉบับที่คนรุ่นปัจจุบันคุ้นเคยที่สุด แล้วก็เลยพลอยเข้าใจว่า ฅ ใช้ในคำว่า คน

ที่มา 108 ซองคำถาม

ขึ้นคาน

"ขึ้นคาน" เป็นสำนวน หมายความถึงหญิงที่มีอายุเลยวัยสาวแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน เป็นคำที่มีนัยตำหนิ เพราะแต่โบราณมานิยมให้ผู้หญิงแต่งงานเพื่อให้มีผู้ดูแลและป้องกันภัย ไม่โดดเดี่ยว
ครั้งอดีต วิถีไทยใกล้ชิดแม่น้ำลำคลอง บ้านเรือนส่วนใหญ่หันหน้าหาสายน้ำมีเรือเป็นพาหนะสำคัญพาสัญจรไปมา ครั้นเมื่อใช้นานเข้าเรือมีอันเกิดชำรุดเสียหายต้องซ่อม ยามจะซ่อมต้องยกขึ้นมาบนบกซึ่งทำที่รับเรือรอไว้แล้ว ที่รับเรือนั้นเรียกว่า "คาน"
อาศัยอรรถาธิบายจากขุนวิจิตรมาตรา ปราชญ์ภาษาไทย ท่านว่า สำนวน "ขึ้นคาน" มาจากเรียกเรือที่ยกขึ้นพาดไว้บนคานเพื่อซ่อมรอยรั่ว ยาชัน ทาน้ำมันใหม่ ในตอนนั้นเรือใช้ประโยชน์ไม่ได้ ค้างเติ่งอยู่บนคาน เรียกว่าขึ้นคาน
ต่อมาจึงนำคำว่า ขึ้นคาน เป็นสำนวนเรียกสตรีผู้ถึงวัยมีลูกมีผัวแล้วแต่ยังเล่นเนื้อเล่นตัว ไม่ยอมตกร่องปล่องชิ้นมีคู่เสียที จึงถูกนำไปเปรียบเทียบกับเรือ
ถ้าเรือรั่วหรือชำรุดเสียหาย เจ้าของนำขึ้นมาซ่อมบนบก ก็ต้องทำคานสำหรับรองเรือไว้ เรือที่ขึ้นคานจึงอยู่ห่างน้ำ เมื่อเรือห่างน้ำก็เหมือนเสือห่างป่าจะมีคุณค่าอันใดคนไทยแต่โบราณ จึงนำเอาคำว่าขึ้นคานมานิยามหญิงที่ยังไม่แต่งงานจนล่วงเลยวัยสาวไปแล้ว
ที่มา http://gotoknow.org/blog/789/130548

หมดสิทธิ์ยักคิ้ว หลิ่วตา เพราะพ(ระ)ม่าเป็นเหตุ

เหตุผลที่พระไทยต้องโกนคิ้ว ไม่มีหลักฐานยืนยัน มีแต่เรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า


ในสมัยอยุธยาที่ไทยรบกับพม่า

พม่าส่งทหารปลอมตัวเป็นพระ ลอบเข้ามาสืบข่าวในพระนคร

พระเจ้าอยู่หัวจึงรับสั่งให้พระไทยโกนคิ้วทิ้ง

พระที่ไม่ได้โกนคิ้วก็แสดงว่าเป็นพวกพม่า จับไปสอบสวนได้ทันที

หลังจากนั้นมาพระไทยก็โกนคิ้วมาตลอด

อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีพระวัดหนึ่งเห็นผู้หญิงเดินผ่านก็ยักคิ้วให้

ความทราบถึงสังฆราชเจ้า จึงออกเป็นคำสั่งแต่นั้นมาให้พระสงฆ์ไทยโกนคิ้ว

จะได้ไม่ต้องยักคิ้วหลิ่วตาให้ผู้หญิง

อย่างไรก็ตาม เรื่องการโกนคิ้วไม่ปรากฏในพระวินัย จะโกนหรือไม่โกนก็ได้

มีแต่คณะสงฆ์ไทยเท่านั้นที่โกนคิ้ว ถือเป็นวัตรปฏิบัติที่สืบต่อกันมา

พระสงฆ์ในประเทศอื่น ๆ ไม่ได้โกนคิ้ว และยืนยันว่าควรจะไว้คิ้ว

เพราะคิ้วเป็นเครื่องป้องกันมิให้เหงื่อไคลไหลเข้าตา

ที่มา 108 ซองคำถาม

หน้าผากสาวอินเดีย

จุดแดงที่แต้มกลางหน้าผากเรียกว่า "ติกะ" (Tika) แต่ในบางครั้งอาจเรียกว่า "บินดิ" (Bindi) ซึ่งหมายถึงจุดที่เจิมบริเวณแสกผม โดยใช้นิ้วป้ายขึ้นไปตามรอยแสกผม ปัจจุบันจุดบนหน้าผากสตรีอินเดีย อาจเรียกปนกันทั้ง ติกะ และ บินดี
สตรีในศาสนาพราหมณ์ฮินดูแต่โบราณนานมา เมื่อแต่งงานแล้วจะแต้มจุดแดงที่กลางหน้าผาก เป็นสัญลักษณ์ของการมีพันธะด้านการครองเรือน ในฐานะผู้เป็นภรรยา ผู้เป็นแม่ สตรีอินเดียถือสามีเสมือนเทพ จะให้ความรักความเคารพอย่างสูง การเจิมหน้าผากจะทำในวันแต่งงาน เมื่อคู่บ่าวสาวเดินรอบกองไฟแล้ว พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีวิวาห์ หรือผู้เป็นเจ้าบ่าวจะเจิมหน้าผากให้เจ้าสาว เป็นการประกาศว่าหญิงผู้นั้นเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามประเพณี
สตรีชาวอินเดียจะต้องมีจุดนี้อยู่ตราบที่สามียังมีชีวิตอยู่ และจะต้องลบออกเมื่อสามีเสียชีวิต
ในกรณีที่เลิกร้างกัน สตรีผู้นั้นจะลบจุดออกได้ต่อเมื่อเป็นการเลิกร้างโดยคำสั่งของศาล
หากสตรีผู้นั้นลบจุดติกะออกโดยที่สามียังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ได้เลิกกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
จะถือว่าเป็นการกระทำสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ
โดยทั่วไปจุดสีแดงนี้จะทำจากมูลวัวที่นำมาเผาและบดจนละเอียด
แล้วผสมกับสีแดงชาดที่ได้จากรากไม้ มูลวัวไม่ถือว่าเป็นของสกปรก
เพราะวัวเป็นพาหนะของพระเจ้า และกินพืชเป็นอาหาร
ผงสีนี้เรียกว่า "ผงวิภูติ" มีจำหน่ายตามร้านค้า ผงนี้อาจมีการนำไปทำพิธีก่อนนำมาใช้ก็ได้
 
ลักษณะของจุดติกะมีหลายแบบ เดิมนิยมจุดกลม คนที่ยังสาวจะนิยมจุดเล็กเพราะสวยงามกว่า
แต่พออายุมากขึ้นอาจแต้มจุดให้ใหญ่ขึ้น ปัจจุบันมีรูปแบบจุดอื่น ๆ เช่น รูปคล้ายหยดน้ำ
หรือเป็นวงกลมและมีรัศมีโดยรอบเหมือนดวงอาทิตย์
ปัจจุบันติกะพัฒนารูปแบบไปมากทั้งรูปทรงและสีสัน บางทีก็ทำเป็นสติกเกอร์เพื่อสะดวกใช้
มีข้อสังเกตว่า ในบางครั้งจุดติกะอาจไม่ใช่สัญลักษณ์ของสตรีที่แต่งงานเพียงอย่างเดียว
ติกะถือว่าเป็นสิ่งมงคล ชาวอินเดียบางกลุ่มจะใช้ในโอกาสอื่น ๆ เช่นเวลาไหว้พระ
พราหมณ์จะให้ผงวิภูติ ผู้รับจะนำมาเจิมเพื่อเป็นสิริมงคล แต่ก็เป็นการเจิมเพียงชั่วคราวเท่านั้น
คนที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมอินเดียมักเข้าใจว่า
จุดแดงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นชาวอินเดีย
จึงมักแต้มจุดแดงเวลาที่แต่งกายเป็นชาวอินเดีย เช่นนางเอกในละคร
แม้ยังเป็นสาวเป็นแส้ ก็แต้มจุดแดงกับเขาด้วย
นี่เป็นเรื่องของการนำมาใช้โดยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจุดแดงจะเป็นวัฒนธรรมของพวกพราหมณ์ฮินดู
แต่สตรีชาวอินเดียที่แต่งงานแล้ว และไม่ใช่ชาวฮินดูแท้ ๆ อาจรับวัฒนธรรมนี้ไปใช้
ในชาวอินเดียบางกลุ่ม สัญลักษณ์ของสตรีที่แต่งงานแล้ว
อาจเป็นการห้อยสายสร้อยสังวาลมงคล ซึ่งสามีมอบให้
ที่มา 108 ซองคำถาม

ตุลสีมาตา

หลายคนคงสงสัยว่า ชาวอินเดียส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาฮินดู ทำไมจึงปลูกกะเพราไว้ที่หน้าบ้าน และประดับประดาอย่างสวยงาม และมีพิธีกรรมหลายๆอย่างที่ต้องใช้กะเพรามาประกอบในพิธี รวมถึงเทพที่สำคัญอย่างพระนารายณ์ ก็ต้องใช้ใบกะเพราในการประกอบพิธี เรามารู้จักกะเพรากันให้ดีกว่านี้ดีกว่า
ในตำนานของการกำเนิดกะเพราหรือตุลสี (บ้างก็เรียก ตุลชี ตุลซี่) นั้นมีหลายทางที่กล่าวไว้ แต่ที่จะกล่าวไว้คือตำนานที่เริ่มจากพระศิวะโฮเลนาทร ทรงลงโทษอินทราเทพ ที่ไปรบกวนการบำเพ็ญภาวนาของพระองค์ จนพระเนตรที่สามเปิดขึ้น เกิดไฟเผาผลาญโลกอย่างดุเดือด เมื่อพระพิโรธสงบลง จึงได้เกิดกุมารน้อย บนทะเลของซินดูราชบิดาพระแม่ลักษมี (คิดว่าเป็นทะเลเกษียณสมุทร) พระแม่จึงได้น้องชายเป็นกุมารที่เกิดบนกองเพลิง เมื่อพระพรหมได้เข้ามาในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กุมารน้อยได้แสดงความจองหองกับพระพรหม พระพรหมจึงได้มอบกุมารนี้ให้ซินดูราชดูและ พร้อมกับขนานนามว่า ยาลันดรา พร้อมกันนั้นยังมีกุมารีคนหนึ่งนามว่า บรินดา มีความรักศรัทธาในองค์พระวิษณุนารายณ์มาก ภาวนาด้วยการขานพระนามตลอดเวลา เพื่อให้ได้สามีที่ดี จนเมื่อนางเจริญวัยขึ้นจึงได้พบกับ ยาลันดรา ผู้มีความสง่างาม และมีพลังอำนาจ ยาลันดราหลงรักบรินดาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น จึงได้ตกลงใจสมรสกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
จนวันหนึ่ง ราหู มารผู้ชั่วช้าได้ปรากฏกายพร้อมกับฤษีผู้จองหอง พวกเขาได้กล่าวกับยาลันดราถึงเรื่องต่างๆ ระหว่างเทวดากับเหล่ามาร เพื่อชี้ให้เห็นข้อคดโกงของเทวดา ยาลันดราเป้ฯผู้รักพวกพ้องจึงได้ประกาศสงครามระหว่างเทวดากับ อสูร แต่บรินดาได้เข้ามาห้ามไว้ แต่ด้วยความรักในสามีจึงไม่สามารถพูดอะไรได้มาก จึงได้แต่ภาวนาให้สามีปลอดภัย ยาลันดราบุกตีอินทราโลก และได้จับตัวอินทรานีมาทรมาณให้ได้รับความอับอาย บรินดาทนเห็นสตรีถูกกลั่นแกล้งไม่ได้จึงได้เข้าไปห้ามปรามสามี จึงถูกยาลันดราทำร้าย นารัทมุนีที่เป็นทุกข์ร้อนในเรื่องนี้อยู่แล้วจึงเข้าไปบอกกับพระแม่ลักษมี ให้มาห้ามน้องชายจากความชั่วร้าย แต่ยาลันดราไม่ฟัง เพราะราหูกล่าวถึงพระวิษณุในทางที่ไม่ดี ยาลันดราจึงประกาศสงครามกับวิษณุโลกอีกครั้ง

ในขณะที่จะออกรบ บรินดาได้เข้ามาเจิมหน้าผากให้กับยาลันดราพร้อมทั้งกล่าวขอพรให้พระวิษณุคุ้มครอง ยาลันดราไม่พอใจจึงตัดลิ้นของบรินดา ห้ามไม่ให้กล่าวบูชาพระวิษณุอีก แต่ด้วยบารมีของบรินดา ทำให้นางได้ลิ้นคืนและได้สวดขอพรให้ยาลันดราปลอดภัยกลับมา เมื่อยาลันดราชนะวิษณุโลกได้แล้วก็หลงมัวเมาในกามตันหา แม้กระทั้งฤษีที่ยุให้ยาลันดราก่อสงคราม เขาก็ไม่ฟัง บรินดาจึงเข้ามาตักเตือนสามี แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ นารัทมุนี จึงได้เข้าไปขอพรให้พระศิวะช่วยเหลือ แต่พระศิวะก็ไม่ช่วยเพราะเป็นเหตุที่เกิดจากการล่วงเกินพระองค์เอง นารัทมุนีจึงคิดอุบายยุให้ยาลันดรามาชิงตัวแม่อุมาเทวีไป โดยเข้าไปพรรณนาความงามของแม่อุมาให้ยาลันดราฟัง ยาลันดราเมื่อได้ฟังก็หลงใหล จึงประกาศสงครามกับศิวะโลก พระศิวะจึงทนไม่ไหวออกประกาศสงครามกับยาลันดรา ยาลันดราเมื่อเอาชนะพระศิวะได้จึงคิดที่จะเข้าไปลวนลามพระแม่อุมา แต่พระแม่ได้ใช้พระเนตรเผายาลันดรา แต่ไม่สำเร็จเพราะมีบารมีของบรินดาคุ้มครองอยู่ เหล่าเทวดาจึงช่วยกันคิดหาอุบายที่จะทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสัจจะแห่งบรินดา ที่ซื่อตรงในสามี พระวิษณุจึงจำแลงกายเป็นยาลันดรา เข้าไปหาบรินดา บรินดาเมื่อเห็นสามีก็มีความดีใจมาก พระวิษณุในร่างยาลันดราจึงลอบมีสัมพันธ์กับบรินดา

ในขณะที่ยาลันดรากำลังจะออกรบอีกครั้ง มาลาที่แสดงความซื่อตรงต่อสามีของบรินดาที่มองให้ยาลันดรามานั้นเกิดเหี่ยวเฉาขึ้นมา ยาลันดราจึงรู้ว่าบรินดาคิดไม่ซื่อเสียแล้ว จึงออกรบโดยที่ไม่สนใจถึงอำนาจใดๆ ทั้งที่เขาเคยมีอำนาจของบรินดาคุ้มครอง แต่ด้วยความทะนงตนจึงคิดว่าเป็นเพราะบารมีของตนเองทั้งสิ้น พระศิวะเมื่อได้โอกาส จึงตัดหัวของยาลันดรา ด้วยอำนาจแค้นหัวของยาลันดราจึงตะโกนด่าบรินดา แล้วลอยมาที่วังของตน บรินดาเมื่อเห็นศีรษะของสามีก็ตกใจมาก เพราะที่ยืนอยู่ก็คือสามี หัวที่ลอยมาก็คือสามี บรินดาจึงถามผู้ที่มีร่างยืนอยู่ แต่ก็ไม่พูดอะไร บรินดาจึงอธิฐานให้ผู้ที่มีร่างยืนอยู่ปรากฏร่างจริง ร่างของยาลันดราจึงกลายเป็นพระวิษณุ บรินดาเสียใจมากรีบเข้าไปกอดศีรษะสามีไว้ ยาลันดราสำนึกได้แต่ก็สายไปเสียแล้วจึงได้แต่กล่าวขอโทษ ด้วยความผิดของพระวิษณุ บรินดาจึงสาปให้พระวิษณุ กลายเป็นหินทันที เมื่อพระวิษณุกลายเป็นหิน เครื่องประดับของพระแม่ลักษมีก็หายไปจากกายจนสิ้นเหลือแต่เสื้อผ้าที่เศร้าหมอง วิษณุโลกดำมืดลง โลกทั้งโลกหยุดหมุน พระแม่ลักษมีจึงรีบมาหาต้นเหตุ จนพบกับบรินดานั่งร้องไห้กอดศีรษะสามีอยู่ พร้อมกับร่างของพระวิษณุที่ได้กลายเป็นหิน เหล่าเทพก็เข้ามาขอร้องบรินดาให้คืนคำสาป แต่บรินดากลับทำให้ร้ายยิ่งขึ้น คือยิ่งสาปให้โลกแตกออก ให้ไฟผลาญโลกอีก จนเหล่าสรรพสัตว์หนีตายกันอลหม่าน

พระแม่ลักษมีจึงได้เข้ามาขอร้องบรินดา โดยกล่าวว่า สตรีคนหนึ่งที่ขาดสามีแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ไม่มีลมหายใจ บรินดาได้ฟังแล้วก็รุ้สึกเศร้าใจ จึงได้ปลอบใจพี่สะใภ้ว่า ขออย่าได้ทุกข์ใจไป พี่เป็นแม่ของโลก แม่ได้ให้ทุกอย่างแก่ทุกคน แต่วันนี้แม่ของโลกต้องร้องไห้ เพราะการกระทำของลูกชั่ว แต่แม่ของโลกจะกลับไปมือเปล่าไม่ได้ เมื่อกล่าวดังนี้แล้วบรินดาจึงได้อธิฐานคืนคำสาป พระวิษณุจึงกลับเป็นปกติ เหล่าเทพจึงขอร้องให้พระศิวะคืนชีวิตให้สามีของบรินดาแต่บรินดาไม่ต้องการอีก เพราะนางได้เสียความบริสุทธิ์เสียแล้วจึงไม่ต้องการให้โลกติเตียน ที่นางต้องเป็นคนนอกใจสามี

นางจึงอุ้มศีรษะสามีไว้ พร้อมกับอธิฐานขอพระแม่อัคคีเยาวลา ให้เผาผลาญร่างของตนพร้อมกับศีรษะสามีไป เมื่อเพลิงลุกโหม เหล่าเทวะต่างร่ำไห้กับนางจนร่างมอดไหม้ไป เหล่าเทพจึงนำผงเถ้าถ่านจากร่างกายของบรินดา ขึ้นมาทำที่ตัวเพื่อเป็นการไว้อาลัยแด่บรินดา พระวิษณุได้คุกเข่าลงกล่าวสรรเสริญบรินดาพร้อมทั้งเนรมิตนางให้กลายเป็นต้นตุลสี พร้อมกับให้พรว่า จากนี้ต่อไป นามตุลสีคือความบริสุทธิ์ตลอดกาล ตุลสีจะเป็นเครื่องบูชาที่เหล่าเทวะพอใจ พร้อมกันนี้ ยังได้เนรมิต ซาดีกรา ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงความผิดของพระวิศนุ และทุกปีเมื่อถึงวันฉลองตุลสี จะต้องมีการจัดงานแต่งงานของตุลสีและซาดีกราด้วย



ในบ้านต่าง    ๆ   จึงมีการปลุกตุลสีกันอย่างดาษดื่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่นับถือไวศนพนิกายต่างจะต้องมีตุลสีไว้ประจำบ้าน และในงานแต่งงานหรือเมื่อมีเด็กเกิดใหม่ จะมีการขอพรจากตุลสีให้คุ้มครองชีวิตให้บริสุทธิ์และมีความสุขตลอดไป


โอม

ในบทสวดมนต์ของเทพทุกองค์ในศาสนาพราหมณ์ จะขึ้นต้นด้วยคำว่า "โอม..."
และในรูปวาดมหาเทพเกือบทุกรูป จะปรากฏเครื่องหมาย "โอม" อยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งในภาพ ซึ่งคำว่า โอม นี้เป็นหัวใจหลักของศาสนาเลยทีเดียว!!

โอม...เป็นพยางค์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำที่ถูกเอ่ยถี่ที่สุด ในการสวดมนต์ทุกบทของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

คำว่า โอม มีลักษณะดังที่เห็นในรูป สังเกตุได้จากลักษณะเด่น คือ

- มีเครื่องหมายคล้ายเลข 3 นำหน้า

- มีเครื่องหมายคล้าย ง. งู ต่อท้าย

- มีถ้วยและหยดน้ำ (เครื่องหมายจุดพินทุ) อยู่ด้านบน

(นอกจากโอมแบบมาตรฐานนี้แล้ว ยังมีอีกหลายลักษณะ ตามแต่ละท้องถิ่นและภาษาของอินเดีย ผู้เขียนจะนำมาเล่าในโอกาสต่อไป)

อักขระ โอม เกิดจากการเรียกพระนามของพระตรีมูรติทั้ง 3 รวมกันเป็นคำเดียว ซึ่งแยกได้ดังนี้

อะ - มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระศิวะ (อะ)

อุ - มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระวิษณุ (อุ)

มะ - มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระพรหมมะ (มะ)

อะ อุ มะ....เมื่ออ่านออกเสียงให้ต่อเนื่องกัน จึงเกิดเป็นคำว่า "โอม" หมายถึงการเรียกขานพระนามของ 3 มหา เทพผู้ยิ่งใหญ่ ในหนังสือบางเล่ม จะสลับความหมายไปมา บ้างก็ว่า อะ คือพระวิษณุ บ้างก็ว่า มะ คือพระศิวะ สลับไป สลับมา แต่ละเล่มก็เลยเขียนไม่เหมือนกันเลย ขอผู้อ่านได้โปรดจำให้ขึ้นใจ จะได้ไม่สับสนนะครับ

คำว่า โอม ยังสามารถแยกออกเป็นคำๆ ซึ่งมีที่มาโดยการเปล่งเสียงแต่ละคำของมหาเทพได้อีกดังนี้

1. ตัว อะ - ออกจากพระพักต์ทางทิศเหนือของมหาเทพ

2. ตัว อุ - ออกจากพระพักต์ทางทิศตะวันตกของมหาเทพ

3. ตัว มะ - ออกจากพระพักต์ทางทิศใต้ของมหาเทพ

4. ตัว . (พินทุ) - ออกจากพระพักต์ทางทิศตะวันออกของมหาเทพ

5. เสียง นาท (เสียงที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยินและเข้าใจได้) – ออกจากกลางพระพักต์ของมหาเทพ

เมื่อท่านผู้ศรัทธาเดินผ่านเทวาลัยพระพิฆเนศวร หรือมหาเทพองค์ใดๆ ควรพนมมือขึ้นเพื่อทำความเคารพ และให้เอ่ยคำว่า "โอม..." สั้นๆเพียงคำเดียวในกรณีที่จำบทสวดเทพองค์นั้นๆไม่ได้ และไม่ใช่เอ่ยคำว่า "สาธุ" นะครับ ต้องเป็นคำว่า "โอม" เท่านั้น จะสวดมนต์ จะขอพร จะกราบ หรือกระทำสิ่งใดก็ตามแต่ ให้เอ่ยคำว่า "โอม" เสมอ

ฉะนั้นนับแต่นี้ไป หากท่านได้พบเห็นเทวรูปพระพิฆเนศ หรือเทพองค์อื่นของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประดิษฐานอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ให้เอ่ยคำว่า "โอม" แทนคำว่า "สาธุ" ก็จะถูกต้องตามหลักปฏิบัติมากกว่าครับ

ท่านผู้ศรัทธาควรหมั่นสวดบูชาเครื่องหมายโอมนี้ด้วยเสมอหลังจากที่สวดบูชาเทพทุกองค์เสร็จแล้ว มีคำสวดดังนี้

โอม การัม พินทุสัมยุกตัม

นิตยัม ธยายันติ โยคินา

กามะทัม โมกะสะทัม ไจวะ

โอม การายะ นะโม นะมะ ฯ

ความหมายของบทสวด :

เครื่องหมาย โอม อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ปรากฏคู่กับเครื่องหมาย พินทุ เสมอ อันจะเป็นเครื่องหมายที่นำความปรารถนา สุขสมหวังมาให้ สามารถขจัดอุปสรรคทั้งหลายให้หมดสิ้น และชี้นำเหล่าโยคีไปสู่ปรีชาญาณ ข้าพเจ้าขอน้อมสักการะเครื่องหมายโอมอันศักดิ์สิทธิ์นี้....

ขอขอบคุณที่มาของข้อมูล : www.SiamGanesh.com

ขอโทษ อย่าโกรธได้ไหม

ทําอย่างไรจะหายโกรธ

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งเมตตาการุณย์ พระพุทธเจ้า มีพระคุณข้อใหญ่ประการหนึ่ง คือ พระมหากรุณา ชาวพุทธทุกคน ได้รับการสั่งสอนให้มีเมตตากรุณา ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นด้วย กาย วาจา และมีนํ้าใจปรารถนาดี แม้แต่เมื่อไม่ได้ทําอะไรอื่น ก็ให้แผ่เมตตาแก่เพื่อนมนุษย์ตลอดจนสัตว์ทั้งปวง ขอให้อยู่เป็นสุข ปราศจากเวรภัยกันโดยทั่วหน้า

อย่างไรก็ตาม เมตตา มีคู่ปรับสําคัญอย่างหนึ่งคือ ความโกรธ ความโกรธเป็นศัตรูที่คอยขัดขวางไม่ให้เมตตาเกิดขึ้น คนบางคนเป็นผู้มักโกรธ พอโกรธขึ้นมาแล้วก็ต้องทําอะไรรุนแรงออกไป ทําให้เกิดความเสียหาย ถ้าทําอะไรไม่ได้ ก็หงุดหงิดงุ่นง่าน ทรมานใจตัวเอง เวลานั้นเมตตาหลบหาย ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ไม่ยอมปรากฏให้เห็น ส่วนความโกรธ

ทั้งที่ไม่ต้องการแต่ก็ไม่ยอมหนีไป บางทีจนปัญญา ไม่รู้จะขับไล่หรือกําจัดให้หมดไปได้อย่างไร

โบราณ ท่านรู้ใจและเห็นใจคนขี้โกรธ จึงพยายามช่วยเหลือโดยสอนวิธีการต่างๆสําหรับระงับความโกรธ วิธีการเหล่านี้มีประโยชน์ไม่เฉพาะสําหรับคนมักโกรธเท่านั้น แต่เป็นคติแก่ทุกคนช่วยให้เห็นโทษของความโกรธ และมั่นในคุณของเมตตายิ่งขึ้น จึงขอนํามาเสนอพิจารณากันดู วิธีเหล่านั้นท่านสอนไว้เป็นขั้นๆ ดังนี้

ขั้นที่ ๑ นึกถึงผลเสียของความเป็นคนมักโกรธ

ก.สอน ตนเองให้นึกว่า พระพุทธเจ้าของเราทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ และทรงสอนชาวพุทธให้เป็นคนมีเมตตา เรามัวมาโกรธอยู่ ไม่ระงับความโกรธเสีย เป็นการไม่ปฏิบัติตามคําสอนของพระองค์ ไม่ทําตามอย่างพระศาสดา ไม่สมกับเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า จงรีบทําตัวให้สมกับที่เป็นศิษย์ของพระองค์ และจงเป็นชาวพุทธที่ดี

ข.พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า คนที่โกรธเขาก่อนก็นับว่าเลวอยู่แล้ว คนที่ไม่มีสติรู้เท่าทัน หลงโกรธตอบเขาไปอีก ก็เท่ากับสร้างความเลวให้ยืดยาวเพิ่มมากขึ้น นับว่าเลวหนักลงไปกว่าคนที่โกรธก่อนนั้นอีก เราอย่าเป็นทั้งคนเลว ทั้งคนเลวกว่า นั้นเลย

ค.พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนต่อไปอีกว่า เขาโกรธมา เราไม่โกรธตอบไป อย่างนี้เรียกว่า ชนะสงครามที่ชนะได้ยาก เมื่อรู้ทันว่าคนอื่นหรืออีกฝ่ายหนึ่งเขาขุ่นเคืองขึ้นมาแล้ว เรามีสติระงับใจไว้เสีย ไม่เคืองตอบ จะชื่อว่าเป็นผู้ทําประโยชน์ให้แก่ทั้งสองฝ่าย คือ ช่วยไว้ทั้งเขาและทั้งตัวเราเอง ๑

เพราะฉะนั้น เราอย่าทําตัวเป็นผู้แพ้สงครามเลย จงเป็นผู้ชนะสงคราม และเป็นผู้สร้างประโยชน์เถิด อย่าเป็นผู้สร้างความพินาศวอดวายเลย

ถ้าคิดนึกระลึกอย่างนี้แล้วก็ยังไม่หายโกรธ ให้พิจารณาขั้นที่สองต่อไปอีก

ขั้นที่ ๒ พิจารณาโทษของความโกรธ

ในขั้นนี้มีพุทธพจน์ตรัสสอนไว้มากมาย เช่นว่า

"คนขี้โกรธจะมีผิวพรรณไม่งาม คนขี้โกรธ นอนก็ เป็นทุกข์ ฯลฯ คนโกรธไม่รู้เท่าทันว่า ความโกรธนั้น แหละคือภัยที่เกิดขึ้นข้างในตัวเอง”

“พอ โกรธเข้าแล้วก็ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นประโยชน์ โกรธเข้าแล้วมองไม่เห็นธรรม เวลาถูกความโกรธครอบงํา มีแต่ความมืดตื้อ คนโกรธจะผลาญสิ่งใด สิ่งนั้นทํายากก็เหมือนทําง่าย แต่ภายหลังพอหายโกรธแล้ว ต้องเดือดร้อนใจเหมือนถูกไฟเผา"

"แรก จะโกรธนั้น ก็แสดงความหน้าด้านออกมา ก่อนเหมือนมีควันก่อนจะเกิดไฟ พอความโกรธแสดงเดชทําให้คนดาลเดือดได้ คราวนี้ละไม่มีกลัวอะไร ยางอายก็ไม่มี ถ้อยคําไม่มีคารวะ ฯลฯ”

“คนโกรธฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตัวเองก็ได้ ฆ่าพระอรหันต์ ฆ่าคนสามัญก็ได้ทั้งนั้น ลูกที่แม่เลี้ยงไว้จนได้ ลืมตามองดูโลกนี้ แต่มีกิเลสหนา พอโกรธขึ้นมาก็ฆ่าได้ แม้แต่แม่ผู้ให้ชีวิตนั้น ฯลฯ" ๒

"กาลีใดไม่มีเท่าโทสะ ฯลฯ เคราะห์อะไรเท่าโทสะไม่มี" ๓

ความโกรธมีโทษก่อผลร้ายให้มากมาย อย่างพุทธพจน์นี้เป็นตัวอย่าง แม้เรื่องราวในนิทานต่างๆ และชีวิตจริงก็มีมากมาย ล้วนแสดงให้เห็นว่าความโกรธมีแต่ทําให้เกิดความเสียหายและความพินาศ ไม่มีผลดีอะไรเลย จึงควรฆ่ามันทิ้งเสีย อย่าเก็บเอาไว้เลย ฆ่าอะไรอื่นแล้วอาจจะต้องมานอนเป็นทุกข์ ฆ่าอะไรอื่นแล้วอาจจะต้องโศกเศร้าเสียใจ แต่ "ฆ่าความโกรธแล้วนอนเป็นสุข ฆ่าความโกรธแล้วไม่โศกเศร้าเลย" ๔

พิจารณาโทษของความโกรธทํานองนี้แล้ว ก็น่าจะบรรเทาความโกรธได้ แต่ถ้ายังไม่สําเร็จก็ลองวิธีต่อไปอีก

ขั้นที่ ๓ นึกถึงความดีของคนที่เราโกรธ

ธรรมดาคนเรานั้น ว่าโดยทั่วไป แต่ละคนๆ ย่อมมีข้อดีบ้าง ข้อเสียบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง จะหาคนดีครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีข้อบกพร่องเลย คงหาไม่ได้หรือแทบจะไม่มี บางทีแง่ที่เราว่าดี คนอื่นว่าไม่ดี

บางทีแง่ที่เราว่าไม่ดี คนอื่นว่าดี เรื่องราว ลักษณะหรือการกระทําของคนอื่นที่ทําให้เราโกรธนั้น ก็เป็นจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องของเขาอย่างหนึ่ง หรืออาจเป็นแง่ที่ไม่ถูกใจเรา เมื่อ จุดนั้นแง่นั้นของเขาไม่ดีไม่ถูกใจเรา ทําให้เราโกรธ ก็อย่ามัวนึกถึงแต่จุดนั้นแง่นั้นของเขา พึงหันไปมองหรือระลึกถึงความดีหรือจุดอื่นที่ดีๆ ของเขา เช่น

คนบางคน ความประพฤติทางกายเรียบร้อยดี แต่พูดไม่ไพเราะ หรือปากไม่ดี

แต่ก็ไม่ได้ประพฤติเกะกะระรานทําร้ายใคร บางคนแสดงออกทางกายกระโดกกระเดกไม่น่าดู หรือการแสดงออกทางกายเหมือนไม่มีสัมมาคารวะ แต่พูดจาดี สุภาพ หรือไม่ก็อาจพูดจามีเหตุมีผล บางคนปากร้ายแต่ใจดี บางคนสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ค่อยดี แต่เขาก็รักงาน ตั้งใจทําหน้าที่ของเขาดี บางคนถึงแม้คราวนี้เขาทําอะไรไม่สมควรแก่เรา แต่ความดีเก่าๆ เขาก็มี เป็นต้น

ถ้ามีอะไรที่ขุ่นใจกับเขา ก็อย่าไปมองส่วนที่ไม่ดี พึงมองหาส่วนที่ดีของเขาเอาขึ้นมาระลึกนึกถึง

ถ้าเขาไม่มีความดีอะไรเลยที่จะให้มองเอาจริงๆ ก็ควรคิดสงสาร ตั้งความกรุณาแก่เขาว่า โธ่ ! น่าสงสาร ต่อไปคนคนนี้คงจะต้องประสบผลร้ายต่างๆ เพราะความประพฤติไม่ดีอย่างนี้ นรก อาจรอเขาอยู่ ดังนี้เป็นต้น

พึงระงับความโกรธเสีย เปลี่ยนเป็นสงสารเห็นใจหรือคิดช่วยเหลือแทน

ถ้าคิดอย่างนี้ ก็ยังไม่หายโกรธ ลองวิธีขั้นต่อไปอีก

ขั้นที่ ๔ พิจารณาว่า ความโกรธ คือการสร้างทุกข์ให้ตัวเอง และเป็นการลงโทษตัวเองให้สมใจศัตรู

ธรรมดาศัตรูย่อมปรารถนาร้าย อยากให้เกิดความเสื่อมและความพินาศวอดวายแก่กันและกัน คนโกรธจะสร้างความเสื่อมพินาศให้แก่ตัวเองได้ตั้งหลายอย่าง โดยที่ศัตรูไม่ต้องทําอะไรให้ลําบากก็ได้สมใจของเขา เช่น

ศัตรูปรารถนาว่า "ขอให้มัน (ศัตรูของเขา) ไม่สวยไม่งาม มีผิวพรรณไม่น่าดู" หรือ

"ขอให้มันนอนเป็นทุกข์ ขอให้มันเสื่อมเสียประโยชน์ ขอให้มันเสื่อมทรัพย์สมบัติ ขอให้มันเสื่อมยศ ขอให้มันเสื่อมมิตร ขอให้มันตายไปตกนรก" ๕ เป็นต้น

เป็นที่หวังได้อย่างมากว่า คนโกรธจะทําผลร้ายเช่นนี้ให้เกิดแก่ตนเองตามปรารถนาของศัตรูของเขา

ด้วยเหตุนี้ ศัตรูที่ฉลาดจึงมักหาวิธีแกล้งยั่วให้ฝ่ายตรงข้ามโกรธ จะได้เผลอสติทําการผิดพลาดเพลี่ยงพลํ้า เมื่อรู้เท่าทันเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ควรจะทําร้ายตนเองด้วยความโกรธ ให้ศัตรูได้สมใจเขาโดยไม่ต้องลงทุนอะไร ในทางตรงข้าม ถ้าสามารถครองสติได้ ถึงกระทบอารมณ์ที่น่าโกรธก็ไม่โกรธ จิตใจไม่หวั่นไหว สี หน้าผ่องใส กิริยาอาการไม่ผิดเพี้ยน ทําการงานธุระของตนไปได้ตามปกติ ผู้ที่ไม่ปรารถนาดีต่อเรานั่นแหละจะกลับเป็นทุกข์ ส่วนทางฝ่ายเราประโยชน์ที่ต้องการก็จะสําเร็จ ไม่มีอะไรเสียหาย

อาจสอนตัวเองต่อไปอีกว่า

"ถ้าศัตรูทําทุกข์ให้ที่ร่างกายของเจ้า แล้วไฉนเจ้าจึงมาคิดทําทุกข์ให้ที่ใจของตัวเอง ซึ่งมิใช่ร่างกายของศัตรูสักหน่อยเลย"

"ความโกรธ เป็นตัวตัดรากความประพฤติดีงามทั้งหลายที่เจ้าตั้งใจรักษา เจ้ากลับไปพะนอความโกรธนั้นไว้

ถามหน่อยเถอะ ใครจะเซ่อเหมือนเจ้า"

"เจ้าโกรธว่าคนอื่นทํากรรมที่ป่าเถื่อน แล้วไยตัวเจ้าเองจึงมาปรารถนาจะทํากรรมเช่นนั้นเสียเองเล่า"

"ถ้าคนอื่นอยากให้เจ้าโกรธ จึงแกล้งทําสิ่งไม่ถูกใจให้ แล้วไฉนเจ้าจึงช่วยทําให้เขาสมปรารถนา ด้วยการปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นมาได้เล่า"

" แล้วนี่ เจ้าโกรธขึ้นมาแล้ว จะทําทุกข์ให้เขาได้หรือไม่ก็ตาม แต่แน่ๆ เดี๋ยวนี้เจ้าก็ได้เบียดเบียนตัวเองเข้าแล้วด้วยความทุกข์ใจเพราะโกรธนั่น แหละ"

"หรือถ้าเจ้าเห็นว่า พวกศัตรูขึ้นเดินไปในทางของความโกรธอันไร้ประโยชน์แล้ว

ไฉนเจ้าจึงโกรธเลียนแบบเขาเสียอีกล่ะ"

"ศัตรูอาศัยความแค้นเคืองใด จึงก่อเหตุไม่พึงใจขึ้นได้ เจ้าจงตัดความแค้นเคืองนั้นเสียเถิด จะมาเดือดร้อนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องไปทําไม"

จะพิจารณาถึงขั้นปรมัตถ์ก็ได้ว่า

"ขันธ์เหล่าใดก่อเหตุไม่พึงใจแก่เจ้า ขันธ์เหล่านั้นก็ดับไปแล้ว เพราะธรรมทั้งหลายเป็นไปเพียงชั่วขณะ แล้วทีนี้เจ้าจะมาโกรธให้ใครกันในโลกนี้"

"ศัตรูจะทําทุกข์ให้แก่ผู้ใด ถ้าไม่มีตัวตนของผู้นั้นมารับทุกข์ ศัตรูนั้นจะทําทุกข์ให้ใครได้ ตัวเจ้าเองนั่นแหละ เป็นเหตุของทุกข์อยู่ฉะนี้ แล้วทําไมจะไปโกรธเขาเล่า" ๖

ถ้าพิจารณาอย่างนี้ก็ยังไม่หายโกรธ ก็ลองพิจารณาขั้นต่อไป

ขั้นที่ ๕ พิจารณาความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน

พึงพิจารณาว่า ทั้งเราและเขาต่างก็มีกรรมเป็นสมบัติของตน ทํากรรมอะไรไว้ก็จะได้รับผลของกรรมนั้น เริ่มด้วยพิจารณาตัวเองว่า เราโกรธแล้วไม่ว่าจะทําอะไร การกระทําของเรานั้นเกิดจากโทสะ ซึ่งเป็นอกุศลมูล กรรมของเราก็ย่อมเป็นกรรมชั่วซึ่งก่อให้เกิดผลร้าย มีแต่ความเสียหาย ไม่เป็นประโยชน์ และเราจะต้องรับผลของกรรมนั้นต่อไป

อนึ่ง เมื่อเราจะทํากรรมชั่วที่เกิดจากโทสะนั้น ก่อนเราจะทําร้ายเขา เราก็ทําร้ายแผดเผาตัวเราเองเสียก่อนแล้ว เหมือนเอามือทั้งสองกอบถ่านไฟจะขว้างใส่คนอื่น ก็ไหม้มือของตัวก่อน หรือเหมือนกับเอามือกอบอุจจาระจะไปโปะใส่เขา ก็ทําตัวนั่นแหละให้เหม็นก่อน

เมื่อพิจารณาความเป็นเจ้าของกรรมฝ่ายตนเองแล้ว ก็พิจารณาฝ่ายเขาบ้างในทํานองเดียวกัน เมื่อเขาโกรธเขาจะทํากรรมอะไรก็เป็นกรรมชั่ว และเขาก็จะต้องรับผลกรรมของเขาเองต่อไป กรรมชั่วนั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้รับผลดีมีความสุขอะไร มีแต่ผลร้าย เริ่มตั้งแต่แผดเผาใจของเขาเองเป็นต้นไป

ในเมื่อต่างคนต่างก็มีกรรมเป็นของตน เก็บเกี่ยวผลกรรมของตนเองอยู่แล้ว เราอย่ามัวคิดวุ่นวายอยู่เลย ตั้งหน้าทําแต่กรรมที่ดีไปเถิด

ถ้าพิจารณากรรมแล้ว ความโกรธก็ยังไม่ระงับ พึงพิจารณาขั้นต่อไป

ขั้นที่ ๖ พิจารณาพระจริยาวัตรในปางก่อนของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าของเรานั้น กว่าจะตรัสรู้ ก็ได้ทรงบําเพ็ญบารมีทั้งหลายมาตลอดเวลายาวนานนักหนา ได้ ทรงบําเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยยอมเสียสละแม้แต่พระชนมชีพของพระองค์เอง เมื่อทรงถูกข่มเหงกลั่นแกล้งเบียดเบียนด้วยวิธีการต่างๆ ก็ไม่ทรงแค้นเคือง ทรงเอาดีเข้าตอบ ถึงเขาจะตั้งตัวเป็นศัตรูถึงขนาดพยายามปลง พระชนม์ ก็ไม่ทรงมีจิตประทุษร้าย บางครั้งพระองค์ช่วยเหลือเขา แทนที่เขาจะเห็นคุณเขากลับทําร้ายพระองค์ แม้กระนั้นก็ไม่ทรงถือโกรธ ทรงทําดีต่อเขาต่อไป

พุทธจริยาเช่นที่ว่ามา นี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปยากที่จะปฏิบัติได้ แต่ก็เป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งชาวพุทธควรจะนํ ามาระลึกตักเตือนสอนใจตน ในเมื่อประสบเหตุการณ์ต่างๆ ว่า ที่เราถูกกระทบกระทั่งอยู่นี้ เมื่อเทียบกับที่พระพุทธเจ้าทรงประสบมาแล้ว นับว่าเล็กน้อยเหลือเกิน เทียบกันไม่ได้เลย

ในเมื่อเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงประสบนั้น ร้ายแรงเหลือเกิน พระองค์ยังทรงระงับความโกรธไว้ มีเมตตาอยู่ได้ แล้วเหตุไฉนกรณีเล็กน้อยอย่างของเรานี้ ศิษย์อย่างเราจะระงับไม่ได้

ถ้าเราไม่ดําเนินตามพระจริยาวัตรของพระองค์ ก็น่าจะไม่สมควรแก่การที่อ้างเอาพระองค์เป็นพระศาสดาของตน

พุทธจริยาวัตร เกี่ยวกับความเสียสละอดทน และความมีเมตตากรุณาของพระพุทธเจ้าอย่างที่ท่านบันทึกไว้ในชาดก มีมากมายหลายเรื่อง และส่วนมากยืดยาว ไม่อาจนํามาเล่าในที่นี้ได้ จะขอยกตัวอย่างชาดกง่ายๆ สั้นๆ มาเล่าพอเป็นตัวอย่าง

ครั้งหนึ่ง พระโพธิสัตว์อุบัติเป็นพระเจ้ากรุงพาราณสี มีพระนามว่าพระเจ้ามหาสีลวะ ครั้งนั้นอํามาตย์คนหนึ่งของพระองค์ทําความผิด ถูกเนรเทศ และได้เข้าไปรับราชการในพระเจ้าแผ่นดินแคว้นโกศล อํามาตย์นั้นมีความแค้นเคืองติดใจอยู่ ได้ให้โจรคอยเข้ามาปล้นในดินแดนของพระเจ้าสีลวะอยู่เนืองๆ เมื่อราชบุรุษจับโจรได้พระเจ้าสีลวะทรงสั่งสอนแล้วก็ปล่อยตัวไป เป็นเช่นนี้อยู่เสมอ ในที่สุด อํามาตย์ร้ายนั้นก็ใช้เหตุการณ์เหล่านี้ยุยงพระเจ้าโกศลว่า พระเจ้าสีลวะอ่อนแอ ถ้า ยกทัพไปรุกราน คงจะยึดแผ่นดินพาราณสีได้โดยง่าย พระเจ้าโกศลทรงเชื่อ จึงยกกองทัพไปเข้าโจมตีพาราณสี พระเจ้าสีลวะไม่ทรงประสงค์ให้ราษฎรเดือดร้อน จึงไม่ทรงต่อต้าน ทรงปล่อยให้พระเจ้าโกศลยึดราชสมบัติ จับพระองค์ไป พระเจ้าโกศลจับพระเจ้าสีลวะได้แล้ว ก็ให้เอาไปฝังทั้งเป็นในสุสานถึงแค่พระศอ รอเวลากลางคืนให้สุนัขจิ้งจอกมากินตามวิธีประหารอย่างในสมัยนั้น ครั้นถึงเวลากลางคืน เมื่อสุนัขจิ้งจอกเข้ามา พระเจ้าสีลวะทรงใช้ไหวพริบและความกล้าหาญ เอาพระทนต์ขบที่คอสุนัขจิ้งจอกตัวที่เข้ามาจะกัดกินพระองค์ เมื่อสุนัขนั้นดิ้นรนรุนแรงทําให้สุนัขตัวอื่นหนีไป และทําให้ดินบริเวณหลุมฝังนั้นกระจุยกระจายหลวมออก จนทรงแก้ไขพระองค์หลุดออกมาได้ ในคืนนั้นเองทรงเล็ดลอดเข้าไปได้จนถึงห้องบรรทมของพระเจ้าโกศล พร้อมด้วยดาบอาญาสิทธิ์ของพระเจ้าโกศลเอง ทรงไว้ชีวิตพระเจ้าโกศล และพระราชทานอภัยโทษ เพียงทรงกู้ราชอาณาจักรคืน แล้วให้พระเจ้าโกศลสาบานไม่ทําร้ายกัน ทรงสถาปนาให้เป็นพระสหายแล้วให้พระเจ้าโกศลกลับไปครองแคว้นโกศลตามเดิม"๗

อีกเรื่องหนึ่ง พระโพธิสัตว์อุบัติเป็นวานรใหญ่อยู่ในป่า ครานั้นชายผู้หนึ่งตามหาโคของตนเข้ามาในกลางป่าแล้วพลัดตกลงไปในเหวขึ้นไม่ได้ อดอาหารนอนแขม่วสิ้นหวังสิ้นแรง พอดีในวันที่สิบพญาวานรมาพบเข้า เกิดความสงสาร จึงช่วยให้ขึ้นมาจากเหวได้ต่อมา เมื่อพญาวานรซึ่งเหนื่อยอ่อนจึงพักผ่อนเอาแรง และนอนหลับไป ชายผู้นั้นเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นว่า "ลิงนี้มันก็อาหารของคน เหมือนสัตว์ป่าอื่นๆ นั่นแหละ อย่ากระนั้นเลย เราก็หิวแล้ว ฆ่าลิงตัวนี้กินเสียเถิด กินอิ่มแล้วจะได้ถือเอาเนื้อมันติดตัวไปเป็นเสบียงด้วย จะได้มีของกินเดินทางผ่านที่กันดารไปได้" คิดแล้วก็หาก้อนหินใหญ่มาก้อนหนึ่ง ยกขึ้นทุ่มหัวพญาวานร ก้อนหินนั้นทําให้พญาวานรบาดเจ็บมาก แต่ไม่ถึงตาย พญา วานรตื่นขึ้นรีบหนีขึ้นต้นไม้ มองชายผู้นั้นด้วยนํ้าตานอง แล้วพูดกับเขาโดยดี ทํานองให้ความคิดว่า ไม่ควรทําเช่นนั้น ครั้นแล้วยังเกรงว่าชายผู้นั้นจะหลงหาทางออกจากป่าไม่ได้ ทั้งที่ตนเองก็เจ็บปวดแสนสาหัส ยังช่วยโดดไปตามต้นไม้นําทางให้ชายผู้นั้นออกจากป่าไปได้ในที่สุด ๘

แม้พิจารณาถึงอย่างนี้แล้ว ความโกรธก็ยังไม่ระงับ พึงลองพิจารณาวิธีต่อไป

ขั้นที่ ๗ พิจารณาความเคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏ

มีพุทธพจน์แห่งหนึ่งว่า ในสังสาระ คือการเวียนว่ายตายเกิดที่กําหนดจุดเริ่มต้นมิได้นี้ สัตว์ที่ไม่เคยเป็นมารดา ไม่เคยเป็นบิดา ไม่เคยเป็นบุตร ไม่เคยเป็นธิดากัน มิใช่หาได้ง่าย ๘ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีเหตุโกรธเคืองจากใคร พึงพิจารณาว่า ท่านผู้นี้บางทีจะเคยเป็นมารดาของเรา ท่านผู้นี้บางทีจะเคยเป็นบิดาของเรา

ท่านที่เป็นมารดานั้นรักษาบุตรไว้ในท้องถึง ๑๐ เดือน ครั้นคลอดออกมาแล้ว เลี้ยงดู ไม่รังเกียจแม้แต่สิ่งปฏิกูลทั้งหลาย เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ นํ้าลาย นํ้ามูก เป็นต้น เช็ดล้างได้สนิทใจ ให้ลูกนอนแนบอก เที่ยวอุ้มไป เลี้ยงลูกมาได้ ส่วนท่านที่เป็นบิดา ก็ต้องเดินทางลําบากตรากตรําเสี่ยงภัย อันตรายต่างๆ ประกอบการค้าขายบ้าง สละชีวิตเข้าสู้รบในสงครามบ้าง แล่นเรือไปในท้องทะเลบ้าง

ทํางานยากลําบากอื่นๆบ้าง หาทางรวบรวมทรัพย์มาก็ด้วยคิดจะเลี้ยงลูกน้อย

ถึงแม้ไม่ใช่เป็นมารดาบิดา ก็อาจเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติ เป็นมิตร ซึ่งได้เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน การที่จะทําใจร้ายและแค้นเคืองต่อบุคคลเช่นนั้นไม่เป็นการสมควร

ถ้าพิจารณาอย่างนี้แล้วก็ยังไม่หายโกรธ ก็อาจพิจารณาตามวิธีในข้อต่อไปอีก

ขั้นที่ ๘ พิจารณาอานิสงส์ของเมตตา

ธรรมที่ตรงข้ามกับความโกรธ ก็คือ เมตตา ความโกรธมีโทษก่อผลร้ายมากมาย ฉันใด

เมตตาก็มีคุณ ก่อให้เกิดผลดีมาก ฉันนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรที่จะระงับความโกรธเสียแล้วตั้งจิตเมตตาขึ้นมาแทน ให้เมตตานั้นแหละช่วยกําจัด และป้องกันความโกรธไปในตัว

ผู้มีเมตตาย่อมสามารถเอาชนะใจคนอื่น ซึ่งเป็นชัยชนะที่เด็ดขาด ไม่กลับแพ้ ผู้ตั้งอยู่ในเมตตา ชื่อว่าทําประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น

เมตตาทําให้จิตใจสดชื่น ผ่องใส มีความสุข ดังตัวอย่างในที่แห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสแสดงอานิสงส์ของเมตตาไว้ ๑๑ ประการ คือ

หลับ ก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย เทวดารักษา ไฟ พิษ และศัสตราไม่กลํ้ากราย จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้รวดเร็ว สีหน้าผ่องใส ตายก็มีสติไม่หลงฟั่นเฟือน

เมื่อยังไม่บรรลุคุณธรรมที่สูงกว่า ย่อมเข้าถึงพรหมโลก๑๐

ถ้ายังเป็นคนขี้โกรธอยู่ ก็นับว่ายังอยู่ห่างไกลจากการที่จะได้อานิสงส์เหล่านี้ ดังนั้น จึงควรพยายามทําเมตตาให้เป็นธรรมประจําใจให้จงได้ โดยหมั่นฝึกอบรมทําใจอยู่เสมอๆ

ถ้าจิตใจเมตตายังไม่เข้มแข็งพอ เอาชนะความโกรธยังไม่ได้เพราะสั่งสมนิสัยมักโกรธไว้ยาวนาน จนกิเลสตัวนี้แน่นหนา พึงลองพิจารณาใช้วิธีต่อไป

ขั้นที่ ๙ พิจารณาโดยวิธีแยกธาต

วิธีการข้อนี้ เป็นการปฏิบัติใกล้แนววิปัสสนา หรือเอาความรู้ทางวิปัสสนามาใช้ประโยชน์ คือ มอง ดูชีวิตนี้ มองดูสัตว์ บุคคล เรา เขา ตามความเป็นจริงว่า ที่ถูกที่แท้แล้ว ก็เป็นแต่เพียงส่วนประกอบทั้งหลายมากมายมาประชุมกันเข้า แล้วก็สมมติเรียกกันไปว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นฉัน เป็นเธอ เป็นเรา เป็นเขา เป็นนาย ก. นาง ข. เป็นต้น

ครั้นจะชี้ชัดลงไปที่ตรงไหนว่าเป็นคน เป็นเรา เป็นนาย ก. นาง ข. ก็หาไม่พบ มีแต่ส่วนที่เป็นธาตุแข็งบ้าง ธาตุเหลวบ้าง เป็นรูปขันธ์บ้าง เป็นเวทนาขันธ์บ้าง เป็นสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ หรือ วิญญาณขันธ์บ้าง

หรือเป็นอายตนะต่างๆ เช่น ตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง เป็นต้น

เมื่อพิจารณาตามความจริงแยกให้เป็นส่วนๆ ได้อย่างนี้แล้ว พึงสอนตัวเองว่า " นี่แน่ะเธอเอ๋ย ก็ที่โกรธเขาอยู่น่ะโกรธอะไร โกรธผม หรือ โกรธขน หรือโกรธหนัง โกรธเล็บ โกรธกระดูก โกรธธาตุดิน โกรธธาตุนํ้ า โกรธธาตุไฟ โกรธธาตุลม หรือโกรธรูป โกรธเวทนา โกรธสัญญา โกรธสังขาร โกรธวิญญาณ หรือโกรธอะไรกัน"

ในที่สุดก็จะหาฐานที่ตั้งของความโกรธไม่ได้ ไม่มีที่ยึดที่เกาะให้ความโกรธจับตัว

อาจ พิจารณาต่อไปในแนวนั้นอีกว่า ในเมื่อคนเรา ชีวิตเราเป็นแต่เพียงสมมติบัญญัติ ความจริงก็มีแต่ธาตุ หรือขันธ์ หรือนามธรรมและรูปธรรมต่างๆ มาประกอบกันเข้า แล้วเราก็มาติดสมมตินั้น ยึดติดถือมั่นหลงวุ่นวาย

ทําตัวเป็นหุ่นถูกชักถูกเชิดกันไป

การที่มาโกรธ กระฟัดกระเฟียด งุ่นง่านเคืองแค้นกันไปนั้นมองลงไปให้ถึงแก่นสาร ให้ถึงสภาวะความเป็นจริงแล้ว ก็เหลวไหลไร้สาระทั้งเพ

ถ้ามองความจริงทะลุสมมติบัญญัติลงไปได้ถึงขั้นนี้แล้ว ความโกรธก็จะหายตัวไปเอง

อย่าง ไรก็ตาม คนบางคนจิตใจและสติปัญญายังไม่พร้อม ไม่อาจพิจารณาแยกธาตุออกไปอย่างนี้ได้ หรือสักว่าแยกไปตามที่ได้ยินได้ฟังได้อ่านมา แต่มองไม่เห็นความจริงเช่นนั้น ก็แก้ความโกรธไม่สําเร็จ

ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็พึงดําเนินการตามวิธีต่อไป

ขั้นที่ ๑๐ ปฏิบัติทาน คือ การให้หรือแบ่งปันสิ่งของ

ขั้น นี้เป็นวิธีการในขั้นลงมือทํา เอาของของตนให้แก่คนที่เป็นปรปักษ์ และรับของของปรปักษ์มาเพื่อตน หรืออย่างน้อยอาจให้ของของตนแก่เขาฝ่ายเดียว ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรมีปิยวาจา คือ ถ้อยคําสุภาพไพเราะ ประกอบเสริมไปด้วย

การ ให้หรือแบ่งปันกันนี้ เป็นวิธีแก้ความโกรธที่ได้ผลชะงัด สามารถระงับเวรที่ผูกกันมายาวนานให้สงบลงได้ ทําให้ศัตรูกลายเป็นมิตร เป็นเมตตากรุณาที่แสดงออกในการกระทํา

ท่านกล่าวถึงอานุภาพยิ่งใหญ่ของทานคือการให้นั้นว่า

"การให้เป็นเครื่องฝึกคนที่ยังฝึกไม่ได้ การให้ยังสิ่งประสงค์ทั้งปวงให้สําเร็จได้ ผู้ให้ก็เบิกบานขึ้นมาหาด้วยการให้ ฝ่ายผู้ได้รับก็น้อมลงมาพบด้วยปิยวาจา"

เมื่อความโกรธเลือนหาย ความรักใคร่ก็เข้ามาแทน ความเป็นศัตรูกลับกลายเป็นมิตร ไฟพยาบาทก็กลายเป็นนํ้าทิพย์แห่งเมตตา ความแผดเผาเร่าร้อนด้วยทุกข์ที่เร้ารุมใจ ก็กลายเป็นความสดชื่นผ่องใสเบิกบานใจด้วยความสุข

วิธีทั้ง ๑๐ ที่ว่ามาเป็นขั้นๆ นี้ ความจริงมิใช่จําเป็นต้องทําไปตามลําดับเรียงรายข้ออย่างนี้ วิธีใดเหมาะ ได้ผลสําหรับตน ก็พึงใช้วิธีนั้น ตกลงว่า

วิธีการท่านก็ได้แนะนําไว้อย่างนี้แล้ว เป็นเรื่องของผู้ต้องการแก้ปัญหา จะพึงนําไปใช้ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แท้จริงต่อไป

เชิงอรรถ

๑. ดู สํ.ส. ๑๕/๘๗๕/๓๒๕

๒. องฺ.สตฺตก. ๒๓/๖๑/๙๘ (แปลตัดเอาความเป็นตอนๆ)

๓. ขุ.ธ. ๒๕/๒๕/๔๒;๒๘/๔๘

๔. สํ.ส. ๑๕/๑๙๙/๕๗

๕. เทียบกับคํ าสอนไม่ให้โศกเศร้า, องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๔๘/๖๒

๖. วิสุทธิมัคค์ ๒/๙๗ (ตัดข้อความสํ าหรับภิกษุโดยเฉพาะออกแล้ว)

๗. มหาสีลวชาดก, ชา.อ. ๒/๔๑

๘. ดู มหากปิชาดก, ชา.อ. ๗/๒๗๑

๙. สํ.นิ. ๑๖/๔๕๑-๕/๒๒๓-๔

๑๐.องฺ.เอกาทสก. ๒๔/๒๒๒/๓๗๐ (หมายถึงเมตตาเจโตวิมุตติ)

ที่มา

เรื่องนี้ เขียนตามแนวคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ ภาค ๒ หน้า ๙๓-๑๐๖ แต่แทรกเสริมเติมและตัดต่อเรียบเรียงใหม่ตามที่เห็นสมควรของเดิมมี ๙ วิธี ในที่นี้ขยายออกเป็น ๑๐ วิธี และเนื้อหาเก่า ท่านมุ่งสอนพระภิกษุผู้บําเพ็ญเมตตากรรมฐานในที่นี้เขียนปรับความให้เหมาะแก่คนทั่วไป

นวราตรี

นวราตรี – ทุรคาบูชา
ตามปฏิทินฮินดูในรอบปีมีเทศกาลงานสำคัญต่างๆ เริ่มจากขึ้น ๑ ค่ำ เดือนห้า ไปจนถึงแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ อยู่ ๓๖ งาน หากงานที่ชาวฮินดูในสยามประเทศเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่จนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง คืองานนวราตรี

งานนวราตรีจัดขึ้นปีละสองครั้ง คือในช่วงปีใหม่ (ขึ้น ๑ – ๙ ค่ำ เดือนห้า ) และในช่วงกลางปี (ขึ้น ๑ -๙ ค่ำ เดือน ๙ เรียกว่า สรัททิยะนวราตรี (Shardiya Navaratri) ความเชื่อเก่าแก่ของชาวอินเดียนั้นถือกันว่าในหนึ่งปีประกอบไปด้วยฤดูร้อน และฤดูหนาว ฤดูกาลที่ผลัดเปลี่ยนส่งผลต่อร่างกายและจิตใจมนุษย์ จึงเกิดการบวงสรวงเทพเจ้าผู้คุ้มครองเพื่อขอพลังแห่งชีวิต
นวราตรี: พลังอำนาจแห่งอิสตรี
เทพเจ้าในศาสนาฮินดูมีอยู่เกินคณานับ คัมภีร์ปุราณะต่างฉบับอธิบายความเป็นมาและความสัมพันธ์แตกต่างกัน ส่งผลให้มีลัทธินิกายต่างๆ มายมายตามเทพเจ้าที่นับถือ นิกายใหญ่ๆ ได้แก่ไวษณพนิกาย บูชาพระวิษณุหรือพระนารายณ์เป็นหลัก ไศวะนิกาย บูชาพระศิวะหรือพระอิศวรเป็นมหาเทพ และนิกายศักติ ซึ่งยึดถือศักติ คือพระอุมา-ชายาพระศิวะ และเทพนารีทั้งปวงเป็นสรณะ

ณ แดนภารตะ การจัดงานนวราตรีมีหลายรูปแบบ กอปรด้วยรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันตามภูมิสถาน๒ บางแห่งรู้จักกันในชื่อเทศกาลดูเซร่า (Dussehra-ทศหรา?) หลายพื้นที่ในอินเดียภาคเหนือมักถือเทศกาลนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง วาระยิ่งใหญ่ที่พระรามได้ชัยชนะจากการปราบทศกัณฐ์ จึงมีการทำหุ่นขนาดใหญ่ของทศกัณฐ์พร้อมกุมภกรรณ (Kumbhakarna) น้องชายและ เมฆนาถ (Meghnadh - รณพักตร์หรืออินทรชิตในพากย์ไทย) ขึ้นมา ก่อนเผาไฟในวันที่สิบของเทศกาล เรียกชื่องานช่วงนี้ว่า “ทศหรา”๓ หรือวัน (พระราม) ชนะทศกัณฐ์ ส่วนทางภาคใต้ซึ่งเป็นดินแดนแห่งทศกัณฐ์ ไม่มีประเพณีดังกล่าว เพราะเป็นดินแดนแห่งทศกัณฐ์เฉลิมฉลองสิ่งอื่นแทน เช่นเทศกาลปงกัลของสังคมชาวนา หรือทุรคาบูชา เทศกาลเฉลิมฉลองการปราบมหิษาสูรของพระแม่ทุรคา ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยแห่งการเฉลิมฉลองต่างไปตามแต่ละถิ่น

หลายแห่งในรัฐทมิฬนาฑู อินเดียใต้กำหนดจัดงานนวราตรีเก้าวันเก้าคืน โดยแบ่งเป็นการบูชาเทพนารีสามองค์ คือ พระลักษมี พระสรัสวดี และพระอุมาเทวี องค์ละสามคืนไล่เรียงกันไป



อิทธิพลของเทศกาลนวราตรีที่ส่งมายังแดนไทย ถือเป็นช่วงที่พระแม่อุมาและขบวนเทพจะเสด็จมาสู่พื้นพิภพเพื่อประทานพรแก่ ชาวโลก จึงมีการบูชาพระศรีมหาอุมาเทวีเก้าปางในเก้าคืน
คือ

คืนแรก ปางไศลปุตรี ธิดาของหิมพาน ราชาแห่งภูเขา

คืนที่สอง ปางพรหมจาริณี พระแม่เกิดขึ้นเอง ไม่มีพ่อแม่ และอยู่เป็นโสด

คืนที่สาม ปางจันทรฆัณฎา ทรงปราบอสูรด้วยเสียงระฆัง

คืนที่สี่ ปางกูษามาณฑา ทรงปราบอสูร ด้วยอาวุธ (บ้างว่าเป็นปางทุรคา)

คืนที่ห้า ปางสกันทมาตา ทรงเลี้ยงพระขันทกุมาร โอรสผู้เกิดจากพระศิวะ

คืนที่หก ปางกาตยานี ทรงปราบอสูร (บ้างว่าทรงปราบมหิษาสูร)

คืนที่เจ็ด ปางกาลราตรี หรือกาลี ทรงเสวยเลือดอสูร

คืนที่แปด ปางมหาเคารี ทรงเป็นเจ้าแม่แห่งธัญชาติ ทำให้พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์

คืนที่เก้า ปางสิทธิธาตรี ทรงเป็นเจ้าแม่แห่งความสำเร็จ

บทความ