กลไต่เชือกของอินเดียนี้ได้สร้างความอัศจรรย์ใจให้ผู้ชมเป็นอย่างมาก จนได้ชื่อว่า เป็นกลที่ลวงตาที่สุดในโลก แม้แต่นักมายากลผู้ยิ่งใหญ่จากที่ต่างๆ ต่างก็เดินทางไปอินเดียเพื่อพิสูจน์กลนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถคลี่คลายความลึกลับนี้ได้ จนกระทั่งปัจจุบันกลไต่เชือกแบบคลาสสิกก็ยังเป็นเงื่อนงำที่ไม่มีบทพิสูจน์
กลนี้ประกอบด้วยนักมายากล เด็กชายผู้ช่วย เชือกขนาดใหญ่ อาจมีเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งประกอบด้วย ในเวอร์ชั่นแบบธรรมดาที่สุดของกลนี้ คือ นักมายากลจะโยนเชือกเส้นหนึ่งขึ้นไปในอากาศ เชือกนั้นจะตั้งตรง จากนั้นเด็กชายผู้ช่วย เรียกว่า จามูรา (jamoora) จะไต่ขึ้นไปบนเชือกแล้วก็ไต่ลงมา ส่วนในเวอร์ชั่นที่ซับซ้อนขึ้นกว่านั้น นักมายากลหรือเด็กชายผู้ช่วยจะไต่เชือกไปจนถึงยอดแล้วหายขึ้นไปในอากาศ จากนั้นจะปรากฏตัวอีกครั้งบนพื้นดิน
แต่ในเวอร์ชั่นคลาสสิกของกลนี้พิสดารยิ่งกว่าและยังพิสูจน์ไม่ได้จนถึงบัดนี้ ที่สำคัญกลนี้แสดงในเวลากลางวัน และในที่โล่ง โดยนักมายากลจะโยนเชือกขึ้นไปในอากาศ เชือกที่โยนขึ้นไปนั้นดูเหมือนจะลอยสูงขึ้นไปในอากาศ ส่วนปลายเชือกหายไปจากสายตา เด็กชายผู้ช่วยนักมายากลจะไต่เชือกขึ้นไปแล้วหายไปจากสายตาเช่นกัน
นักมายากลจะร้องเรียกเด็กชายให้กลับลงมา แต่เด็กชายไม่ส่งเสียงตอบรับ ทำให้นักมายากลโกรธ แล้วไต่เชือกตามหายขึ้นไปพร้อมมีดหรือดาบในมือ จนผู้ชมเบื้องล่างได้ยินเสียงการโต้เถียงกันของทั้งสองคน จากนั้นก็มีชิ้นส่วนของแขน ขา รวมทั้งส่วนต่างๆ ของร่างกายถูกโยนลงมาบนพื้น เมื่อนักมายากลไต่เชือกลงมาแล้ว ก็เก็บรวบรวมชิ้นส่วนของเด็กชายรวมกันไว้ในตะกร้า หรือรวมไว้ที่หนึ่ง แล้วคลุมด้วยเสื้อคลุมหรือผ้าห่ม และเมื่อเปิดผ้าคลุมออกเด็กชายก็กลับคืนร่างมาใหม่อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์
แม้ว่ากลไต่เชือกนี้ปรากฏสู่สายตาชาวตะวันตกมาหลายศตวรรษ แต่ที่มาเกี่ยวกับกลนี้เกิดขึ้นเมื่อใดยังไม่มีใครทราบ เป็นแต่เพียงตำนานและการบอกเล่าต่อๆ กันมาจากบรรดานักเดินทางทั้งหลายในอดีต ทำให้มีข้อสงสัยอย่างมากว่ากลนี้จริงหรือลวง นักมายากกลต่างๆ ถึงขนาดตั้งรางวัลให้อย่างงามสำหรับคนที่จะไขความกระจ่างของกลนี้ แต่น่าเสียดายที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครไขปมปริศนานี้ได้จะแจ้งสักคน หรือว่ากลนี้เป็นเพียงนิยายที่เล่าต่อๆ กันมาของนักเดินทางเท่านั้น