วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แม่น้ำคงคา

สำหรับชาวฮินดูพาราณสีเป็นเมืองที่มีความสำคัญที่ยิ่งใหญ่เป็นหัวใจของชาวฮินดูเพราะมีแม่น้ำสายสำคัญที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมต่างมีเป้าหมายเดียวกันเมื่อเดินทางมาถึงสาธารณรัฐอินเดียแล้วจะต้องมาเมืองพาราณสีเพื่อมาหา “กังกามาตา” หรือแม่น้ำคงคานั่นเอง

คงคา เป็นชื่อแม่น้ำสายสำคัญดุจดั่งเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชาวอินเดียด้วยระยะความยาวถึง สองพันห้าร้อยกิโลเมตร ความสำคัญอีกอย่างหนึ่งนอกจากจะหล่อเลี้ยงกายแล้วแม่น้ำคงคาสามารถหล่อเลี้ยงจิตใจและจิตวิญญาณของชาวฮินดูไว้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์เพราะตามประวัติของแม่น้ำคงคาที่มีความพิสดารเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าในศาสนาฮินดูที่ถูกถ่ายทอดปลูกฝังจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งจนกลายเป็นสายแห่งศรัทธาที่ไม่มีสิ่งใดจะมาทำลายลงได้ดังจะขอกล่าวถึงความเป็นมาของแม่น้ำสายสำคัญสายนี้ที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ฤคเวท และวรรณกรรมอื่นๆของอินเดีย เช่น คัมภีร์ปุราณะ และมหากาพย์ภารตยุทธ์ ดังนี้

พระแม่คงคาเป็นพระธิดาองค์โตของท่านท้าวหิมวัตกับพระนางเมนา และเป็นเชษฐภคินีของพระนางอุมา ทั้งสองเป็นพระชายาของพระศิวะแห่งเขาไกรลาส พระแม่คงคาประทับอยู่บนยอดเขาหิมาลัยเพียงแห่งเดียว มิได้หลั่งไหลสายน้ำลงมาสู่โลกมนุษย์แต่อย่างไร ถึงแม้จะมีการเพียรพยามของเทพเจ้าทั้งหลายให้พระแม่คงคาได้กรุณาปล่อยสายน้ำให้ไหลลงสู่โลกมนุษย์เพื่อให้เกิดความชุ่มฉ่ำเย็นแก่แผ่นดินก็ตามแต่ก็ไร้ผล พระแม่คงคายังคงประทับอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเช่นเดิม

กาลลุถึงสมัยของท้าวสาคร กษัตริย์แห่งเมืองอโยธยามีพระราชดำริถึงพิธีอัศวเมธ คือ พระราชพิธีปล่อยม้าศึกเพื่อแสดงพระราชอำนาจและพระแสนยานุภาพให้ปรากฏแก่กษัตริย์ตามเมืองต่างๆ โดยหากมีผู้ใดผู้หนึ่งกล้าจับม้าตัวนี้ซึ่งเรียกกันว่า ม้าอุปการ ก็จะเกิดศึกสงครามขึ้นทันที กษัตริย์อินเดียที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ในชมพูทวีปสมัยนั้นมักจะใช้วิธีการนี้เป็นการบอกกล่าว โดยพระราชพิธีครั้งนี้ท้าวสาครโปรดฯให้พระราชโอรส ๖๐,๐๐๐ พระองค์ คอยติดตามและป้องกัน ครั้นพระอินทร์แปลงกายเป็นรากษสลักพาม้าอุปการในการประกอบพระราชพิธีนี้ไปเสีย ท้าวสาครทรงพิโรธมาก มีรับสั่งให้พระราชโอรสทั้งหมดตามหาม้า อุปการคืนมาจะด้วยวิธีใดก็ได้ กาลครั้งนั้นเกิดความเดือดร้อนให้แก่เหล่าเทพ อสูร ครุฑ รากษส และสัตว์อื่นเป็นจำนวนมาก ร้อนถึงพระวิษณุต้องแปลงกายเป็นฤาษีกบิลเพื่อเข้าแก้ไขสถานการณ์ เมื่อบรรดาพระโอรสของท้าวสาคร มาพบฤาษีกบิลอยู่กับม้าอุปการจึงเข้าไปหมายจะทำร้ายพระฤาษี พระฤาษีแปลงจึงได้สำแดงฤทธิ์บันดาลให้เปลวเพลิงออกมาจากนัยน์ตาที่ 3 เผาผลาญสรีระของพระพระราชกุมารทั้งหมดมอดไหม้กลายเป็นเถ้าในพริบตา คงเหลือเพียงพระอัฐิซึ่งมีบาปติดอยู่เท่านั้น

ท้าวสาครเมื่อทรงทราบเหตุการณ์โดยลำดับจากพระฤาษีเทวนารถแล้ว ทรงประสบโทมนัสพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงทรงมีพระกระแสรับสั่งให้พระราชนัดดาพระนามว่า เจ้าชายศุมนต์หรืออังสุมัน ไปพบพระฤาษีกบิลเพื่อไต่ถามถึงวิธีการแก้ไขให้บาปของพระราชกุมารทั้ง ๖๐,๐๐๐ พระองค์หายไป พระฤาษีได้กล่าวกับพระราชนัดดาว่า “วิญญาณของพระกุมารทั้งหมดนั้น จะพ้นจากบาปและจะได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์ เมื่อพระอัฐิเหล่านั้นได้ถูกชำระล้างด้วยพระคงคาวารี คือ น้ำจากพระแม่คงคาเท่านั้น บาปจึงจะหมดสิ้นไป”

จนถึงสมัยของพระราชาพระนามว่า ภังคีรถ เมื่อทรงทราบเหตุการณ์ที่ผ่านเกี่ยวกับพระราชบรรพบุรุษทั้งหมดในอดีตทรงเกิดความโทมนัสพระหทัยยิ่งนัก จึงทรงสละราชสมบัติออกบำเพ็ญเพียรตบะ ที่บนภูเขาหิมาลัยอย่างอุกฤษฏ์ ซึ่งทรงปฏิบัติอย่างตั้งพระทัยเพื่อขอความกรุณาจากพระแม่คงคาได้ประทานสายน้ำลงสู่พื้นแผ่นดินเพื่อชำระพระอัฐิของพระราชบรรพบุรุษที่มีบาปติดอยู่ให้หมดสิ้นไป

พระราชาภังคีรถ เพียรพยามอยู่นานหลายปีเพื่อขอพรจากพระพรหม เมื่อความเพียรนั้นร้อนถึงพรหมอาสน์ พระพรหมจึงปรากฏพระองค์ต่อหน้าพระราชาภังคีรถ แต่พระพรหมเองเมื่อทราบความต้องการของพระราชาภังคีรถแล้วก็มิสามารถอ้อนวอนต่อพระแม่คงคาได้ เพราะเนื่องจากพระแม่คงคาสูงด้วยบารมี มีฤทธิ์ที่แก่กล้าและน่าเกรงขาม ยามพิโรธก็จะเป็นภัยแก่แผ่นดินไม่มีใครจะต้านทานไว้ได้ นอกจากองค์มหาเทพศิวะผู้ยิ่งใหญ่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

พระราชาภังคีรถเมื่อทราบดังนั้นจากพระพรหมแล้วได้บำเพ็ญเพียรอย่างอุกฤษฏ์ต่อพระมหาเทพศิวะ จนพระศิวะพอพระทัยจึงไปเจราจากับพระแม่คงคาเพื่อให้ความปรารถนาของพระราชาสำเร็จ โดย พระมหาเทพศิวะได้อัญเชิญพระแม่คงคาประทับบนมวยผมของพระองค์เอง เพื่อเป็นการสกัดกั้นภัยพิบัติอันจะเกิดขึ้นในยามที่พระแม่คงคาทรงพิโรธ ช่วยให้สายธารแห่งพระแม่คงคาไหลจากยอดเขาหิมาลัยลงสู่พื้นแผ่นดินบนโลกมนุษย์ด้วยอาการที่แช่มช้อยและเยือกเย็นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า พระราชาภังคีรถบำเพ็ญเพียรอย่างแรงกล้าจนกาลเวลาผ่านไปถึง ๑,๐๐๐ ปี พระคงคาจึงมาปรากฏกายต่อพระองค์และยินยอมที่จะลงมาโลกมนุษย์ แต่พระคงคาได้ตรัสว่า “ความแรงของน้ำคงคาที่ตกลงมาจากสวรรค์นั้น ไม่มีสิ่งใดจะรับไว้แม้ในสามโลกนอกจากพระมหาเทพศิวะเท่านั้น” จนพระราชาภังคีรถต้องบำเพ็ญเพียรพยายามอีกครั้งเพื่อให้พระมหาเทพศิวะยอมพระทัย ผลสุดท้ายพระมหาเทพศิวะตรัสรับคำว่า “พระองค์จะรองรับความแรงของแม่น้ำคงคา ที่ไหลลงมาจากสวรรค์ด้วยพระองค์เอง” เมื่อพระราชาได้สดับดังนั้นแล้วก็จิตโสมนัส พระคงคาได้ปล่อยสายน้ำไหลลงมาถึงมวยผมพระศิวะก่อนที่จะไหลลงสู่แผ่นดินในโลกมนุษย์ จากนั้น พระคงคาได้ไหลตามพระราชาภังคีรถ ผู้นำเสด็จไปยังกองพระอัฐิและเถ้าถ่านของพระราชบรรพบุรุษเหล่านั้น แม่น้ำคงคาที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันนี้ตามคติความเชื่อของชาวฮินดูเพราะเนื่องจากพระราชาภังคีรถจึงมีการขนานนามแม่น้ำคงคาอีกนามหนึ่งว่า ภังคีรถี

บทความ